ปัจจัยบางประการที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับตะกั่วในเลือด ของตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร

Abstract

การศึกษาครั้งนี้เพื่อประเมินปริมาณตะกั่วในเลือดของตำรวจ 3 กลุ่ม ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ตำรวจจราจรที่ประจำอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยมากกว่า 1,000 คันต่อชั่วโมงขึ้นไป กลุ่มที่ 2 ตำรวจจราจรที่ประจำอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยน้อยกว่า 1,000 คันต่อชั่วโมง และกลุ่มที่ 3 ตำรวจควบคุมซึ่งประจำตามสถานีตำรวจต่าง ๆ เนื่องจากอิทธิพลของปัจจัยต่าง ๆ คือ อายุ อายุการทำงานระยะเวลาที่สัมผัส พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์การวิเคราะห์ปริมาณตะกั่วในเลือดใช้วิธีอะตอมมิคแอบซอพชั่นสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ แบบกราไฟท์เฟอร์แนซ ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณตะกั่วในเลือดเฉลี่ยของตำรวจกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 เท่ากับ 28.14, 19.47 และ 19.39 ไมโครกรัมเปอร์เซ็นต์ตามลำดับ เมื่อทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่า ปริมาณตะกั่วในเลือดเฉลี่ยของตำรวจกลุ่มที่ 1 สูงกว่ากลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) ขณะที่ปริมาณตะกั่วในเลือดของตำรวจกลุ่มที่ 2 และ 3 ไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p> 0.05) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อหาอิทธิพลของตัวแปรต่าง ๆ พบว่า ระยะเวลาที่สัมผัส การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ มีผลต่อปริมาณตะกั่วในเลือดของตำรวจกลุ่มที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อปริมาณตะกั่วในเลือดของตำรวจกลุ่มที่ 2 (p <0.01) ตำรวจกลุ่มที่ 3 มีเพียงการสูบบุหรี่ เท่านั้นที่มีบทบาทต่อปริมาณตะกั่วในเลือด (p<0.001)