Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/17509
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorอภิรัตน์ เพ็ชรศิริ-
dc.contributor.authorธงทอง นิพัทธรุจิ-
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์-
dc.date.accessioned2012-03-09T11:48:46Z-
dc.date.available2012-03-09T11:48:46Z-
dc.date.issued2552-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/17509-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (น.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552en
dc.description.abstractประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 เป็นกฎหมายที่มีผลย้อนหลัง ในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรค โดยที่มิต้องคำนึงถึงเวลาที่ได้กระทำผิด ทั้งนี้ในปีพุทธศักราช 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัยที่ 3-5/2550 ได้อาศัยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับดังกล่าว ทำคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองไทยรักไทยและมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ จำนวน 111 คน และในคำวินิจฉัยนี้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่า “มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง” มิใช่โทษในทางกฎหมายอาญาและสามารถบังคับใช้ให้มีผลย้อนหลังเป็นโทษได้ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการพิสูจน์ ว่า “มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง” นั้น ควรถือว่าเป็นสภาพบังคับทางอาญา และเมื่อมีการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายอาญาแล้ว การลงโทษทัณฑ์ทางอาญาที่มีมาตรการทางอาญาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง รวมอยู่ด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า เพียงแต่ที่จะใช้“มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง” ในรูปแบบของสภาพบังคับตามกฎหมายรูปแบบอื่น จากการศึกษาวิจัย วิทยานิพนธ์ฉบับนี้พบว่า มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งที่ใช้อยู่ในประเทศไทยมีลักษณะเป็นการจำกัดตัดสิทธิพื้นฐานของปวงชนชาวไทย ซึ่งมาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนี้ ได้เริ่มต้นมีขึ้นในรูปแบบของสภาพบังคับทางอาญา ในครั้งที่ประเทศไทยเริ่มต้นมีกระบวนการทางประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสนับสนุน มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในครั้งนั้นใช้เป็นบทลงโทษในทางกฎหมายอาญาเพื่อตอบโต้ต่อการกระทำที่เป็นภยันตรายต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย และได้บัญญัติไว้ในพระราช บัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งของประเทศไทย นับแต่ปีพุทธศักราช 2475 จนถึงฉบับปัจจุบัน โดยได้บัญญัติให้มาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนี้เป็นบทลงโทษควบคู่กับโทษจำคุกและปรับในทางกฎหมายอาญาแก่การกระทำความผิดทางอาญาข้อหาความผิดเดียวกัน โทษจำคุก ปรับ และมาตรการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น ถือได้ว่า มีลักษณะเป็นการโต้ตอบต่อการกระทำความผิด ที่จัดว่าเป็นอาชญากรรมที่กระทำต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยของชาติ ที่ต้องด้วยวัตถุประสงค์การลงโทษเพื่อแก้แค้นตอบแทนความเสียหายที่ผู้กระทำความผิดได้กระทำลงแล้วต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นความสาสมต่อการกระทำอาชญากรรม เพราะเป็นการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ให้ต้องถูกตัดสิทธิขั้นพื้นฐานมิให้มีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง ทั้งยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการลงโทษทางกฎหมายอาญาเพื่อข่มขู่และตัดโอกาสมิให้กระทำความผิดอีกด้วยen
dc.description.abstractalternativeThe Announcement of the Council for Democratic Reform Under the Constitutional Monarchy No. 27 on September 30, 2549 (B.E.) retroactively deprives political party’s executive members of election rights when it is proven that --regardless of the time of the commission of the act-- there is unlawful action committed under the name of the party and the political party was dissolved. To this effect, in the year B.E. 2550, The Constitutional Tribunal (Case No. 3-5/2550) dissolves Thai Rak Thai Party as well as deprives the electoral rights of its 111 executive members. The Tribunal contends that “The Deprivation of Election Rights” is not a criminal penalty and may be employed retroactively. This thesis finds that ‘the measure of deprivation of election rights’ in Thailand is a form of state act that constitutes the denial of the Fundamental Rights guaranteed to every citizen of Thailand. Since B.E. 2475, this measure has been used as a criminal penalty in response to the crime against democracy. The penal provisions were introduced in the country’s Election Law B.E. 2475. Similar provisions exist in the current election laws as well. The measure is to be used in conjunction with penal imprisonment and penal fine for the same offences such as election fraud. This measure has well served as the retributive sanction against the culprits who intend to destroy the fundamental principles of the country’s democratic system. It is the type of punishment that fits to the crime much better because it deprives the criminal of the same right that he or she has no respect for. Besides, this measure also serves as the deterrence as well as the incapacitation modes of the criminal justice system. This thesis proposes that “The Deprivation of Election Rights” should be clearly legislated as a type of penal punishment and it should be applied indiscriminately but with respect of the basic principle of criminal law.en
dc.format.extent5472211 bytes-
dc.format.mimetypeapplication/pdf-
dc.language.isothes
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.relation.urihttp://doi.org/10.14457/CU.the.2009.1472-
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.subjectความผิดทางอาญา -- การเลือกตั้ง-
dc.subjectการเลือกตั้ง -- สิทธิของพลเมือง-
dc.subjectสิทธิทางการเมือง-
dc.subjectMistake (Criminal law) -- Mistake (Criminal law)-
dc.subjectMistake (Criminal law) -- Civil rights-
dc.subjectPolitical rights-
dc.titleการริดรอนสิทธิทางการเมืองและโทษทางอาญา : ศึกษากรณีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งen
dc.title.alternativeThe deprivation of political right and penal punishment : a case study of disenfranchisementen
dc.typeThesises
dc.degree.nameนิติศาสตรมหาบัณฑิตes
dc.degree.levelปริญญาโทes
dc.degree.disciplineนิติศาสตร์es
dc.degree.grantorจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.email.advisorApirat.P@chula.ac.th-
dc.identifier.DOI10.14457/CU.the.2009.1472-
Appears in Collections:Law - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Tongthong_Ni.pdf5.34 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.