Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/21713
Title: | การใช้สื่อออนไลน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรณีศึกษา โครงการคอนโดมิเนียม บมจ. เอเชี่ยน พร๊อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนต์ บมจ. แสนสิริ และ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท |
Other Titles: | The study of online advertising for condominium projects: a case study of Asian Property Development Plc, Sansiri Plc and Pruksa Real Estate Plc. |
Authors: | เฉลิมพงศ์ ทวีวัฒนะชัยกุล |
Advisors: | มานพ พงศทัต |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ |
Advisor's Email: | Manop.B@Chula.ac.th |
Subjects: | โฆษณา -- อสังหาริมทรัพย์ โฆษณาทางอินเตอร์เน็ต การสื่อสารทางการตลาด |
Issue Date: | 2554 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแผนการสื่อสารทางการตลาดด้วยสื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าใช้จ่ายการโฆษณาด้วยสื่อออนไลน์มากที่สุดสามบริษัทได้แก่ บมจ. เอเชี่ยน พร๊อพเพอร์ตี้ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท และ บมจ.แสนสิริ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ และเพื่อศึกษาการบริโภคสื่อออนไลน์ของกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมในกระบวนการตัดสินใจซื้อ โดยแบ่งสำรวจกลุ่มผู้ที่กำลังสนใจซื้อคอนโดมิเนียม และ กลุ่มที่ได้ซื้อคอนโดมิเนียมแล้วจำนวนกลุ่มละ 225 ตัวอย่าง รวมเป็น 450ตัวอย่าง โดยการใช้แบบสอบถาม เพื่อให้ทราบประเภทของสื่อออนไลน์ที่ถูกใช้ในขั้นตอนการรับรู้ข้อมูล ขั้นการหาข้อมูล และ ขั้นการตัดสินใจซื้อ ผลการวิจัยพบว่าการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการโครงการคอนโดมิเนียมมีสัดส่วนการใช้จ่ายสื่อออนไลน์สำหรับโครงการระดับบน ปานกลาง และ ล่างไม่แตกต่างกัน การวางแผนการใช้สื่อออนไลน์จะศึกษาจากรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าที่เหมาะกับลักษณะโครงการเป็นหลัก โดยงบประมาณการใช้สื่อออนไลน์มีสัดส่วน ร้อยละ 20-30 ของงบโฆษณาทั้งหมดที่คิดจากร้อยละ 3 ของมูลค่าโครงการ สื่อออนไลน์ที่ถูกใช้ในช่วงเปิดโครงการเพื่อสร้างการรับรู้มากที่สุดคือ Search Engine และ Web banner และสื่อที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลคือ เวบไซต์โครงการ และสื่อที่ใช้มากในช่วงต้องการเร่งปิดโครงการคือ Email และ web banner เพื่อต้องการเจาะจงกลุ่มลูกค้าและสร้างการรับรู้ถึงโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจกับลูกค้า ส่วนสื่อประเภท Social Network เป็นสื่อที่เน้นการทำ CRM เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และ Mobile Media เป็นสื่อที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย ซึ่งไม่ได้หวังผลในการทำยอดขาย แต่มีผลในด้านการช่วยตัดสินใจได้ดี สำหรับเวบไซต์รวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เป็นสื่อที่ไม่ได้อยู่ในการบริหารจัดการของผู้ประกอบการแต่มองว่าเป็นสื่อที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อในการหาข้อมูลได้ดีเนื่องจากมีความหลากหลายและครบวงจรตรงกับความต้องการข้อมูลของลูกค้า สำหรับการบริโภคสื่อออนไลน์ของกลุ่มลูกค้ามีความสอดคล้องกับแผนการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการ โดยลูกค้าโครงการระดับบน ปานกลาง และล่าง มีการใช้สื่อออนไลน์สอดคล้องกัน โดยขั้นการรับรู้ จะใช้การค้นหา keywords จาก Search Engine และ Web banner เป็นหลัก และในขั้นตอนการหาข้อมูลจะใช้สื่อเวบไซต์รวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กับเวบไซต์ของโครงการเนื่องจากมีข้อมูลโครงการที่ละเอียดครบถ้วน และในขั้นการตัดสินใจซื้อ จะใช้เวบไซต์โครงการ เวบไซต์รวมข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และใช้ Social Networkร่วมด้วย เนื่องจากSocial Network เป็นสื่อที่มีบทบาทมากขึ้นในขั้นตอนการการตัดสินใจซื้อเนื่องจากเป็นสื่อที่มีส่วนทำให้ลูกค้าได้รู้ข้อมูลจริงจากประสบการณ์ของลูกค้ารายอื่นๆซึ่งมีส่วนช่วยในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าได้ ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการคือควรใช้สื่อหลากหลายประเภททั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ผสมผสานกันเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด และนำเสนอข้อมูลโครงการอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในเวบไซต์ของโครงการเพื่อให้เกิดความชอบและประทับใจในโครงการ และใช้สื่อ Social Network ในการนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า อย่างไรก็ตามใช้สื่อออนไลน์เพื่อการโฆษณาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อ ปัจจัยด้านตัวสินค้า วิธีการขายของพนักงานขาย และอิทธิพลของสมาชิกในครอบครัวล้วนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าทั้งสิ้นซึ่งผู้ประกอบการจะต้องใช้ผสมผสานกัน สำหรับข้อเสนอแนะการทำวิจัยต่อไปคือการศึกษาการใช้สื่อออนไลน์ในการบริหารจัดการลูกค้า (CRM) ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และศึกษา Content หรือเนื้อหาที่บรรจุในเวบไซต์โครงการ และ พฤติกรรมการเลือกใช้คำค้นหา Keyword ในการค้นหาโครงการ |
Other Abstract: | This research aims to study the online marketing-oriented plans conducted by leading real estate firms, which are Asian Property Development Plc, Sansiri Plc, and Pruksa Real Estate Plc. The research involves interviews the marketing manager of the firms to probe the online advertising media plan. Also, the study is conducted using the information from interested potential buyers, as well as owners amounting to a total of 450 samples. Surveys are used to acquire the needed information on online data that affect individuals’ “cognitive stage”, “affective stage”, and “behavior stage” to purchase an asset. The obtained results have shown that firms give relatively similar weights to online advertisements for high-end, mid-end, and low-end projects alike. Online advertising expenses amount to around 20-30 percent of the total advertising budget, which are approximately around 3 percent of the project’s value. During the presale stage, the most accessed media are search engines and web banners, whereas corporate websites are the most crucial media for consumers during selling period. Lastly, when the projects need to be concluded, the most active media are e-mails and web banners, so as to specify and narrow down the group of potential customers. Social networks serve as a means to conduct CRM for better brand images, while mobile media emphasize the impression of modernity and styles. In addition, Real estate websites are beneficial to potential consumers in that they provide a wide variety of information, which is comprehensive to suit individual preferences. Consumers’ utilization of online media is consistent with the advertising strategies of the firm. Potential customers in the high, middle, and low strata all adopt similar patterns of utilization for the online media launched by firms. In the “cognitive stage”, keywords are searched from search engines and web banners, while Real estate websites and corporate website are jointly used in the “affective stage” due to their detailed nature. Consumers in the “behavior stage” make use of the project website, data collection sites, and social networks accordingly. The social networks play more roles in the decision stage as potential clients can learn from others’ direct experiences, which are of significant impact in making the actual decisions. What the findings suggest for real estate firms is that an integration of media, both offline and online, should be used jointly to ensure maximum awareness amongst interested potential clients. Complete and detailed information should be provided on corporate websites so as to instill positive perceptions and impressions, while social networks should convey to the consumers the positive image of the firm in order to establish a sense of confidence. Factors coming from the products themselves, the marketing and selling methods conducted by agents, and the influence of family members all affect the final decision, which is a fact that should not go unchecked by entrepreneurs. Future research agendas may include the use of online media in the process of customer relationship management (CRM) for businesses in the real estate sector, as well as the detailed contents of websites and the behavioral selection of keywords during the searching stages. |
Description: | วิทยานิพนธ์ (คพ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554 |
Degree Name: | เคหพัฒนศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/21713 |
URI: | http://doi.org/10.14457/CU.the.2011.491 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.14457/CU.the.2011.491 |
Type: | Thesis |
Appears in Collections: | Arch - Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
chalermpong_th.pdf | 13.53 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.