ทัศนคติของนายตำรวจที่มีต่อการเมืองและการบริหารราชการ : ศึกษาเฉพาะกรณีนายตำรวจนักเรียนสารวัตรและผู้บังคับกองรุ่นที่ 10

Abstract

ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาสังคมในประเทศได้เผชิญกับปัญหาสำคัญ ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงการสนับสนุนให้ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและกระทบถึงการปฏิบัติงานของตำรวจในด้านต่างๆ มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือและมีการนัดหยุดงานของกรรมการในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง การเรียกร้อง และดำเนินการเพื่อให้ได้มาตามความประสงค์ดังกล่าวบางครั้งมีลักษณะเป็นการยั่วยุให้เกิดปฏิกิริยาในลักษณะฝ่าฝืนกฎหมาย แต่รัฐบาลก็ใช้วิธีการผ่อนปรนยินยอมฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้ตำรวจต้องละเลยกฎหมายอยู่ตลอดมา ฉะนั้นจึงน่าจะได้สำรวจทัศนคติของนายตำรวจนักเรียนสารวัตรและผู้บังคับกองดูว่าจะมีความรู้สึกนึกคิดในเรื่องเหล่านี้อย่างไร เพราะตำรวจเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมในการปฏิบัติงานจะต้องอาศัยกฎหมายเป็นหลัก และได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธในการปฏิบัติหน้าที่ตั้งเป็นสมมุติฐานว่า ทัศนคติของตำรวจนักเรียนสารวัตรและผู้บังคับกองรุ่นที่ 10 ในเรื่องการเมืองและการบริหารงาน น่าจะมีลักษณะเป็นแบบชาตินิยมและอนุรักษ์นิยม คือ เป็นผู้เชื่อในความสำคัญของการรักชาติ เป็นคุณค่าของการใช้กำลังบังคับเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องมีอำนาจในการควบคุมสิ่งต่างๆ เห็นว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อประเทศ นักการเมืองไม่ควรเข้าก้าวก่ายงานของข้าราชการประจำ และไม่ชอบให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สถานภาพของข้าราชการตำรวจต้องเปลี่ยนไป วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้สร้างแบบสอบถามขึ้นเพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลหลังจากทดลองใช้แล้วได้ส่งแบบสอบถามที่ได้ปรับปรุงแล้วไปให้นักเรียนสารวัตรและผู้บังคับกอง รุ่นที่10จำนวน 65 ฉบับได้รับคืน 58 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 89.2 แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 กลุ่ม คือ นายตำรวจที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจนายตำรวจที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและนายตำรวจที่เลื่อนขึ้นมาจากข้าราชการตำรวจชั้นประทวนผลการวิจัยปรากฏว่า นายตำรวจนักเรียนสารวัตรและผู้บังคับกองส่วนมากเห็นว่า การปกครองประเทศควรใช้ระบบประชาธิปไตยสังคมชาตินิยม มีความประสงค์ให้มีการผสมผสานกันระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยม โดยเพิ่มกิจกรรมทางด้านสังคมนิยมให้มากขึ้นกว่าปัจจุบันและยอมรับว่าประเทศไทยมีความแตกต่างในเรื่องชนชั้นอยู่บ้าง แต่ก็เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐที่ให้ทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สิน เห็นด้วยกับการมีสมาคมหรือกลุ่มผลประโยชน์ และเห็นว่าในการปกครองในระบบประชาธิปไตย จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองแต่นิสิตนักศึกษาไม่ควรมีบทบาทางการเมืองข้าราชการการเมืองไม่ควรก้าวก่ายงานประจำ แต่ควรให้โอกาสข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจไม่ควรเป็นตำแหน่งทางการเมือง การสอบสวนคดีอาญา ควรอยู่กับฝ่ายตำรวจและไม่ควรยกเลิกกฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์