Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/43464
Title: ความแตกต่างของการเกิดพอลีมอร์ฟิซึมของยีนไอพีเทนในกลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีชนิดสายพันธุ์ที่ 1 ที่ตอบสนองและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเพ็กกีเลตเต็ดอินเตอร์เฟียรอนและไรบาวิริน
Other Titles: DIFFERENCE OF IP-10 GENES' POLYMORPHISM BETWEEN TREATMENT RESPONDER AND NON-RESPONDER PATIENTS WITH CHRONIC HEPATITIS C GENOTYPE 1 INFECTION USING PEGYLATED INTERFERON AND RIBAVIRIN
Authors: เกศรินทร์ ถานะภิรมย์
Advisors: ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์
ยง ภู่วรวรรณ
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะแพทยศาสตร์
Advisor's Email: piyawat.komolmit@gmail.com
Subjects: ไวรัสตับอักเสบซี -- การรักษาด้วยยา
Issue Date: 2556
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: ความสำคัญและที่มาของปัญหางานวิจัย โรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังชนิดสายพันธุ์ที่ 1มีการตอบสนองต่อการรักษาที่ยังไม่ดีนัก หนึ่งในปัจจัยที่มีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นว่ามีผลต่อการรักษาคือระดับของ interferon-gamma-inducible protein-10 (IP-10, CXCL10) และ dipeptidyl peptidase-4 (DPP4, CD26) ก่อนการรักษา ความน่าสนใจคือมีการเกิดโพลีมอร์ฟิซึมบางตำแหน่งของยีน CXCL10 และ DPP4 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของ IP-10 และ DPP4 วัตถุประสงค์ เพื่อที่จะศึกษาความแตกต่างของการเกิดโพลีมอร์ฟิซึมของยีน CXCL10 และ DPP4 ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังชนิดสายพันธุ์ที่ 1 ที่หายและไม่หายจากการรักษาด้วยยาเพ็กกีเลตเต็ดอินเตอร์เฟียรอนและไรบาวิริน ระเบียบวิธีการวิจัย ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังชนิดสายพันธุ์ที่ 1 รักษาด้วยยาเพ็กกีเลตเต็ดอินเตอร์เฟียรอนและไรบาวิรินและทราบผลการรักษาแล้วจะได้รับการตรวจหา genotype ของยีน CXCL10 ที่ตำแหน่ง rs56061981 G>A และยีน DPP4 ที่ตำแหน่ง rs13015258 A>C, rs17848916 T>G และ rs41268649 G>A ในจำนวนนี้ผู้ป่วยทั้งสิ้น 80 ราย (40 รายหายจากการรักษา 40 รายไม่หายจากการรักษา) มีการตรวจระดับของซีรัม DPP4 หรือ solubleCD26 (sCD26) เพิ่มเติม ผลการวิจัย ผู้ป่วยทั้งสิ้น 262 รายเข้าร่วมงานวิจัยนี้ โดย 136 ราย (ร้อยละ 51.9) หายจากการรักษา การเกิดโพลีมอร์ฟิซึมของยีน CXCL10 rs5606198 แบบ G/A หรือ A/A genotype ในผู้ป่วยที่หายไม่แตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่หาย (ร้อยละ 25.7 และ 23.8 ตามลำดับ p=0.72) เช่นเดียวกับการเกิดโพลีมอร์ฟิซึมของยีน DPP4 ที่อีก 3 ตำแหน่งก็ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างผู้ป่วยที่หายและไม่หายจากการรักษาด้วยยาสูตรมาตรฐานนี้ ค่ามัธยฐานของระดับ sCD26 ในผู้ป่วยที่ไม่หายเท่ากับ 700 ng/ml ซึ่งสูงกว่าผู้ป่วยที่หายที่มีระดับ sCD26 เท่ากับ 676 ng/ml แต่ทั้งนี้ไม่พบความแตกต่างทางสถิติ ผู้ป่วยที่มี DPP4 rs13015258 genotype A/A มีระดับ sCD26 สูงกว่า C/C genotype (749 vs. 585 ng/ml, p=0.006) และจากการวิเคราะห์โดยใช้สถิติแบบพหุตัวแปรพบว่าการมีพังผืดในตับตั้งแต่ระยะที่สองขึ้นไปเป็นตัวแปรที่สำคัญในการไม่หาย (Odds ratio = 3.67, 95% confidence interval = 1.78 – 7.57, p < 0.05) สรุป การเกิดโพลีมอร์ฟิซึมของยีน CXCL10 ที่ตำแหน่ง rs56061981 และยีน DPP4 ที่ตำแหน่ง rs13015258, rs17848916, rs41268649 ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังชนิดสายพันธุ์ที่ 1 ระหว่างผู้ป่วยที่หายและไม่หายจากการรักษาด้วยยาเพ็กกีเลตเต็ดอินเตอร์เฟียรอนและไรบาวิรินนั้นไม่มีความแตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าระดับของ IP-10 และ DPP4 ในซีรัมก่อนการรักษาที่มีผลต่อการหายนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผันแปรในระดับยีน
Other Abstract: Background There is increasing evidence that pretreatment serum interferon-gamma-inducible protein-10 (IP-10, CXCL10) and dipeptidyl peptidase-4 (DPP4, CD26) levels predict treatment response in chronic hepatitis c virus (HCV) genotype 1 infection. The association between functionally genetic polymorphism of CXCL10 or DPP-4 gene and treatment outcome has not been studied before. Objective To determine the association between the genetic variation of the CXCL10, DPP4 gene and outcome of treatment with pegylated interferon-alpha (PEG-IFN-α) and ribavirin (RBV) therapy in patients with chronic HCV infection. Methods Patients with chronic HCV genotype 1 infection treated with PEG-IFN-α based regimen were genotyped for CXCL10 rs56061981 G>A, DPP4 (rs13015258 A>C, rs17848916 T>G and rs41268649 G>A). Eighty patients (40 patients from treatment responder group and 40 patients from treatment non-responder group) were evaluated for serum DPP4 or soluble CD 26 (sCD26). Results Total 262 patients were enrolled. Of these, 136 patients (51.9%) achieved sustained virologic response (SVR). Single nucleotide polymorphism (SNP) of CXCL10 rs56061981 G/A and A/A genotype was not different between chronic HCV genotype 1 infected patients who had SVR and non-SVR (25.7% vs. 23.8%, p=0.72). Also, there was no difference of the polymorphisms of DPP4 gene (rs13015258 A>C, rs17848916 T>G and rs41268649 G>A) between patients with SVR and non-SVR. Median serum sCD26 in patients with non-SVR was higher than patients with SVR but no statistical significant (700 vs. 676 ng/ml, p=0.67). Chronic HCV genotype 1 infected patient with DPP4 rs13015258 A/A genotype had higher serum sCD26 compared with C/C genotype (749 vs. 585 ng/ml, p=0.006). Multivariate analysis revealed advance liver fibrosis (fibrosis stage 2-4) was predictor of poor treatment outcome (Odds ratio = 3.67, 95% confidence interval = 1.78 – 7.57, p < 0.05). Conclusions The difference of functional SNPs of CXCL10 rs56061981 and DPP4 gene (rs13015258 , rs17848916 and rs41268649) dose not affect treatment outcome in patients with chronic HCV genotype 1 infection using PEG-IFN-α and RBV. Affecting of serum IP-10 and DPP4 with treatment response is not associated with functional genetic variation.
Description: วิทยานิพนธ์ (วท.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2556
Degree Name: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: อายุรศาสตร์
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/43464
URI: http://doi.org/10.14457/CU.the.2013.932
metadata.dc.identifier.DOI: 10.14457/CU.the.2013.932
Type: Thesis
Appears in Collections:Med - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
5574111030.pdf2.78 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.