Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/45953
Title: ผลของการกร่อนเชิงชีวภาพโดยเม่นทะเลหนามดำ Diadema setosum (Leske, 1778) บนปะการังเขากวาง Acropora millepora (Ehrenberg, 1834)
Other Titles: EFFECT OF BIOEROSION BY SEA URCHIN Diadema setosum (Leske, 1778) ON STAGHORN CORAL Acropora millepora (Ehrenberg, 1834)
Authors: นิติ วงศ์เทพวาณิชย์
Advisors: สุชนา ชวนิชย์
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะวิทยาศาสตร์
Advisor's Email: suchana.c@chula.ac.th
Subjects: หอยเม่น
หอยเม่น -- การสึกกร่อน
Sea urchins
Sea urchins -- Erosion
Diadema
Issue Date: 2557
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: การเสื่อมโทรมของปะการังในธรรมชาติมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกร่อนเชิงชีวภาพของสิ่งมีชีวิต เช่น เม่นทะเลหนามดำ Diadema setosum (Leske, 1778) การศึกษานี้ ทำการสำรวจความหนาแน่นของประชากรเม่นทะเลหนามดำบริเวณหมู่เกาะแสมสาร จังหวัดชลบุรี และศึกษาพฤติกรรมการครูดกินของเม่นทะเลหนามดำบนปะการังเขากวาง Acropora millepora (Ehrenberg, 1834) ทั้งในเชิงปริมาณเชิงพื้นที่และหินปูน โดยเปรียบเทียบการครูดกินปะการังเขากวางจากการทดลองที่ไม่มีและมีสาหร่าย Cladophora sp. รวมถึงศึกษาความสามารถในการฟื้นตัวของปะการังภายหลังการถูกครูดกินโดยเม่นทะเลหนามดำ ผลการศึกษาพบว่า ความหนาแน่นของประชากรเม่นทะเลหนามดำสูงสุดบริเวณแนวปะการังเกาะเตาหม้ออย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ประมาณ 11 ตัวต่อตารางเมตร ขณะที่อัตราการครูดกินปะการังของเม่นทะเลหนามดำ 1 ตัว ในการทดลองที่ไม่มีสาหร่ายประมาณ 1.59 ตารางเซนติเมตรต่อวัน และ 0.20 กรัมต่อวัน ในเชิงเชิงพื้นที่ และปริมาณหินปูน ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าการทดลองที่มีสาหร่ายอย่างมีนัยสำคัญ (p< 0.05) อย่างไรก็ตาม ขนาดและความหนาแน่นของเม่นทะเลหนามดำมีผลต่ออัตราการครูดกินปะการังของเม่นทะเลหนามดำเช่นกัน ทั้งนี้ หลังจากนำปะการังที่ถูกครูดกินมาทำการฟื้นตัวเป็นเวลา 14 วัน พบว่า ปะการังทั้งหมดที่มีความเสียหายในทุกระดับสามารถฟื้นตัวได้ทั้งหมดเมื่อนำไปฟื้นตัวในทะเลธรรมชาติ แต่เฉพาะปะการังที่มีพื้นที่ความเสียหายต่ำกว่า 30% เท่านั้น ที่สามารถฟื้นตัวเมื่อนำไปฟื้นตัวในระบบเพาะเลี้ยงบนบก
Other Abstract: Sea urchin is one of the bioeroders that can have an influence on bioerosive processes in reefs. In this study, the bioerosion on a staghorn coral Acropora millepora (Ehrenberg, 1834) by the sea urchin Diadema setosum (Leske, 1778) was investigated. Both field surveys and experiments were conducted. From the field surveys at Chon Buri Province in the upper Gulf of Thailand, the highest abundance of sea urchins (approximately 11 individuals m-2) was found at Ko Tao Mo. In addition, two experiments were conducted to investigate the interaction between sea urchins and corals and the interaction between sea urchin, corals, and algae Cladophora sp. The results of the interaction experiment without algae showed that bioerosion rate of one sea urchin was approximately 0.20 g day-1 and 1.59 cm-2 day-1 in term of CaCO3 and area respectively. The bioeorion rate in the experiment without algae was higher than that of with algae. However, there were some correlation between the densities of sea urchins, sizes of sea urchins, and the bioerosion rates. After 14 days of the experiment, if the damage by the sea urchins was less than 30% of the coral colony area, and the corals were placed in the hatchery for recovery, those corals could recover and survive 100%. On the other hand, if the corals were placed in the natural reefs for recovery, those corals could recover and survive in all damage conditions by urchins.
Description: วิทยานิพนธ์ (วท.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557
Degree Name: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: วิทยาศาสตร์ทางทะเล
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/45953
URI: http://doi.org/10.14457/CU.the.2014.682
metadata.dc.identifier.DOI: 10.14457/CU.the.2014.682
Type: Thesis
Appears in Collections:Sci - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
5472004123.pdf2.27 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.