Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/51758
Title: | ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การสนับสนุนจากองค์การต่อความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีมโรงพยาบาลเอกชน |
Other Titles: | Relationships between personal factors,achievement motivation, organization suppert and team leader's role competency, privat hospital |
Authors: | พัชนี ธรรมวัฒนานุกูล |
Advisors: | ยุพิน อังสุโรจน์ |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะพยาบาลศาสตร์ |
Advisor's Email: | yupin.a@chula.ac.th |
Subjects: | พยาบาล แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ โรงพยาบาลเอกชน ความสามารถ Nurses Achievement motivation Hospitals, Proprietary Ability |
Issue Date: | 2549 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การสนับสนุนจากองค์การ กับความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม และการพยากรณ์ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม โรงพยาบาลเอกชน กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติหน้าที่พยาบาลหัวหน้าทีมในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลเอกชน เลือกโดยวิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 373 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล คุณลักษณะของงาน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การสนับสนุนจากองค์การ และแบบสอบถามความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน และค่าความเที่ยงโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามส่วนที่ 2- 5 มีค่าเท่ากับ .83, .85, .84, และ .86 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1.ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม โรงพยาบาลเอกชนอยู่ในระดับสูง (X̅ = 4.00) 2.ประสบการณ์การทำงาน คุณลักษณะของงาน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และการสนับสนุนจากองค์การ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม โรงพยาบาลเอกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = .18, .62, .60 และ .65 ตามลำดับ) 3. ตัวแปรที่สามารถร่วมกันพยากรณ์ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม โรงพยาบาลเอกชนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีดังนี้ การสนับสนุนจากองค์การ คุณลักษณะ ของงาน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และประสบการณ์การทำงาน โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 58.1 (R2 = .581) โดยมีสมการพยากรณ์ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม โรงพยาบาลเอกชน ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ Zความสามารถในการปฏิบัติบทบาทพยาบาลหัวหน้าทีม = .38 Z การสนับสนุนจากองค์การ + .27 Z คุณลักษณะงาน +.23 Zแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ + .23 Z ประสบการณ์การทำงาน |
Other Abstract: | The purposes of this research were to study team leader’s role competency to examine the relationships between personal factors which were work experience and job characteristic, achievement motivation, organization support and team leader’s role competency, and to predict team leader’s role competency in private hospital. The subjects consisted of 373 team leader nurses working in patient unit of private hospitals selected by multi-stage sampling technique. Data were collected using personal factors, job characteristic, achievement motivation, organization supports and team leader’s role competency questionnaires. The instruments were tested for validity and reliability. The Cronbach’s alpha coefficients were .83, .85, .84, and .86, respectively. Statistical techniques utilized in data analysis were percentage, mean, standard deviation, Pearson’s product moment correlation, and stepwise multiple regression. Major findings were as follows: 1. The mean score of the job characteristic, achieve motivation, organizational support and team leader’s role competency were at the high level (X̅ = 4.27, 4.27, 3.89, and 4.00 respectively). 2. The relationships between work experience, organization support, job characteristic, achievement motivation and team leader’s role competency were positively significant related at p < .05 level (r = .18, .65, .62, and .60, respectively). 3. Factors significantly predicted team leader’s role competency were organization support, job characteristic, achievement motivation and work experience. These predictors were accounted for 58.1 percents of variance (R2 = .581). The predicted equation in standardized score from the analysis was as follow : Ź Team leader’s role competency =.38 Z Organization support + .27 Z Job characteristic + .23 Z Achievement motivation + .23 Z Work experience |
Description: | วิทยานิพนธ์ (พย.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549 |
Degree Name: | พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | การบริหารการพยาบาล |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/51758 |
URI: | http://doi.org/10.14457/CU.the.2006.1452 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.14457/CU.the.2006.1452 |
Type: | Thesis |
Appears in Collections: | Nurse - Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
patchanee_ta_front.pdf | 1.21 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_ch1.pdf | 1.63 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_ch2.pdf | 4.4 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_ch3.pdf | 1.55 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_ch4.pdf | 2.08 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_ch5.pdf | 1.92 MB | Adobe PDF | View/Open | |
patchanee_ta_back.pdf | 3 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.