Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61079
Title: ความไม่เหมาะสมของการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับสัญญาขายฝากศึกษาเปรียบเทียบกับแม่บทการบัญชีและมาตรฐานการบัญชี
Authors: ยศวดี บุญยะกาพิมพ์
Advisors: ทัชชมัย ทองอุไร
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์
Advisor's Email: Tashmai.R@chula.ac.th
Subjects: ภาษีเงินได้
การชำระภาษี
Issue Date: 2560
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: ตามกฎหมาย สรรพากรปัจจุบันพิจารณาว่าผู้มีเงินได้จากสัญญาขายฝากและสัญญาซื้อขายเสร็จ เด็ดขาดเสียภาษีในรูปแบบเดียวกันคือเสียภาษีเงินได้จากการขายตามมาตรา 40(8) เนื่องจากทั้งสองสัญญาดังกล่าวมีรูปแบบทางกฎหมายเป็นสัญญาซื้อขาย ผู้ขายฝากจึงมีหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีเงินได้จากการขายตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรเช่นเดียวกับผู้ขายในสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และ ณ วันที่ผู้ขายฝากนำเงินสินไถ่มาให้ผู้ซื้อฝากเพื่อเป็นการไถ่ทรัพย์คืน ผู้ซื้อฝากก็มีภาระภาษีเงินได้จากการขายตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรเช่นกัน เนื่องจากเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์คืนให้แก่ผู้ขายฝากถือเป็นการขาย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสัญญาขายฝาก จะเห็นได้ว่าคู่สัญญาทำสัญญาขายฝากเพื่อมุ่งประโยชน์ทางการให้สินเชื่อ ไม่ได้มุ่งไปที่การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังเช่นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ตามสัญญาขายฝากในรูปแบบเดียวกับผู้มีเงินได้จากสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดจึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของสัญญา ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี ผู้มีเงินได้จากสัญญาขายฝากและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่ควรเสียภาษีในรูปแบบเดียวกันจากปัญหาการจัดเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้ตามสัญญาขายฝากในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์อันแท้จริงของสัญญา ส่งผลให้ภาษีซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมกลับเป็นสิ่งที่ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณากำหนดวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีเงินได้ตามสัญญาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่แท้จริงของธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาถึงประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของสินทรัพย์และความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญของความเป็นเจ้าของ รวมถึงอำนาจการควบคุมสินทรัพย์เป็นสำคัญ มิได้คำนึงถึงรูปแบบทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว จะทำให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการทำสัญญามากขึ้น หากวิธีการจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงแล้ว จะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันแก่คนในสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ประชาชนก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อการเสียภาษี และเสียภาษีด้วยความสมัครใจ รัฐบาลจะได้มีเงินคงคลังเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่นได้สืบไป
Description: เอกัตศึกษา(ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560
Degree Name: ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: กฎหมายเศรษฐกิจ
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61079
URI: http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.55
metadata.dc.identifier.DOI: 10.58837/CHULA.IS.2017.55
Type: Independent Study
Appears in Collections:Law - Independent Studies

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
598 62340 34.pdf1.32 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.