Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61081
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.advisor | พล ธีรคุปต์ | - |
dc.contributor.author | รักชนก ถาม่อย | - |
dc.contributor.other | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์ | - |
dc.date.accessioned | 2018-12-18T07:59:24Z | - |
dc.date.available | 2018-12-18T07:59:24Z | - |
dc.date.issued | 2560 | - |
dc.identifier.uri | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61081 | - |
dc.description | เอกัตศึกษา(ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560 | en_US |
dc.description.abstract | รัฐมีความประสงค์ที่จะส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติ บุคคลให้มากขึ้นจึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาฯฉบับที่ 630 และพระราชกฤษฎีกาฯฉบับที่ 644 รวมถึงประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับที่ 4 ฉบับที่ 5 ฉบับที่ 6 และประกาศกระทรวงมหาดไทยเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์รวมถึงลดหย่อนอัตราค่าธรรมเนียมในการโอนอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดตามนโยบายส่งเสริมภาษีดังกล่าวจากมาตรการส่งเสริมภาษีดังกล่าวนั้นอาจทำให้มีการหาประโยชน์จากการโอนทรัพย์สินตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร อาจทำให้เกิดกระแสการจัดตั้งนิติบุคคลในธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ภาษีและต่อมาก็ทำการเลิกธุรกรรมดังกล่าวอันแสดงให้เห็นได้ว่าการจัดตั้งนิติบุคคลและการโอนทรัพย์สินที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการอาศัยความแตกต่างของอัตราภาษีหรือการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษีที่ไม่ได้จัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 630 ที่ได้รับการลดภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลภายนอก เนื่องจากมีผลกำไรจากการขายที่ดินน้อยกว่าที่ควรจะเป็นหากได้รับการโอนที่ดินโดยไม่ใช้สิทธิประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นเพียงการกระทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระทางภาษีมีผลให้ไม่ต้องเสียภาษีหรือหากต้องเสียภาษีก็จะเป็นการเสียภาษีในจำนวนที่น้อยที่สุดโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐต้องการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรวมทั้งให้มีการจัดทำบัญชีและเสียภาษีในจำนวนที่ ถูกต้องสะท้อนความเป็นจริงที่สุด ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวภาษีอากรที่ดีต้องมีความแน่นอน (Certainty) คือมีความชัดแจ้งในตัวบท ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลมิใช่ตามความเห็นชอบของฝ่ายจัดเก็บ แต่ในขณะเดียวกันภาษีอากรที่ดีต้องสร้างรายได้ให้กับรัฐมาก ตามหลัก productivity ด้วยเช่นกันและมีความยึดหยุ่นสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นๆ ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าควรกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข แนวทางปฏิบัติในการกำหนดมูลค่าต้นทุนของ ทรัพย์สินให้มีความชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกินการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อใช้สิทธิพิเศษตามเงื่อนไขการยกเว้นภาษีอีกทั้งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการออกพระราชกฤษฎีกาฯ ที่มุ่งหวังจะส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาหรือกิจการขนาดเล็กที่มีเจ้าของคนเดียวประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคลกลับกลายเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มคนที่มีอสังหาริมทรัพย์ ใช้สิทธิทางภาษีโดยการจัดตั้งนิติบุคคลและทำการโอนทรัพย์สินที่ดินเข้ามาเพื่อเป็นต้นทุนในการประกอบกิจการตามช่วงเวลาดังกล่าว คำสั่งกรมสรรพากร เป็นแบบปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรนำไปใช้เป็นแนวทางเดียวกันทั่วไป ทั้งที่มีผลในทางกฎหมาย (ท.ป.) และเป็นเพียงแนวปฏิบัติภายใน (ป.) แต่ก็ทำให้เกิดการสื่อสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อการสนับสนุนการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ผู้เขียนจึงเห็นว่าการออกคำสั่งกรมสรรพากรเป็นการแก้ไขปัญหาการตีความที่มีประสิทธิภาพมาก ที่สุดสำหรับการให้ความชัดเจนในแนวทางการพิจารณาของเจ้าพนักงานประเมิน ซึ่งยังไม่มีกฎเกณฑ์การตีความที่เป็นมาตรฐานของกฎหมายภาษีอากรเกี่ยวกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการจัดตั้งนิติบุคคลเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมภาษีดังกล่าว อาจเพราะการขาดความรู้ในเรื่องของธุรกรรมที่มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งกรมสรรพากรควรมุ่งเน้นให้ความรู้กับเจ้าพนักงานประเมินให้มีความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น สิ่งที่ผู้เขียนได้เสนอไว้เป็นเพียงการนำมาตรการของต่างประเทศมาปรับใช้เบื้องต้นเท่านั้น อันเป็น ก้าวแรกสำหรับการป้องกันการใช้ประโยชน์ในของมาตรการส่งเสริมทางภาษีของรัฐเป็นเครื่องมือในการหลบเลี่ยงภาษี รวมไปถึงลดภาระภาษีผ่านการโอนทรัพย์สินเพื่อจัดตั้งนิติบุคคลตามเงื่อนไขของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว หากต่อมาการพิจารณาเจตมีความชัดเจนและเป็นแนวทางเดียวกันมากขึ้น หรือมีการใช้การหลบเลี่ยงภาษีได้อยู่จากช่องว่างหรือความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ก็อาจมีการพัฒนาปรับปรุงมาตรการดังกล่าวต่อไปในอนาคต | en_US |
dc.language.iso | th | en_US |
dc.publisher | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | en_US |
dc.relation.uri | http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.16 | - |
dc.rights | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | en_US |
dc.subject | การโอนทรัพย์สิน | en_US |
dc.subject | รัฐ--รายได้ | en_US |
dc.title | ปัญหาการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล : ศึกษากรณีพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรักษฎากร ฉบับที่ 630 และฉบับที่ 644 (พ.ศ.2560) | en_US |
dc.type | Independent Study | en_US |
dc.degree.name | ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต | en_US |
dc.degree.level | ปริญญาโท | en_US |
dc.degree.discipline | กฎหมายเศรษฐกิจ | en_US |
dc.degree.grantor | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | en_US |
dc.email.advisor | ไม่มีข้อมูล | - |
dc.subject.keyword | นโยบายส่งเสริมภาษี | en_US |
dc.subject.keyword | การโอนทรัพย์สิน | en_US |
dc.identifier.DOI | 10.58837/CHULA.IS.2017.16 | - |
Appears in Collections: | Law - Independent Studies |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
598 62362 34.pdf | 3.06 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.