Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44322
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorปารีณา ศรีวนิชย์-
dc.contributor.authorฐานิสรา พาหะมาก-
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์-
dc.date.accessioned2015-08-17T03:59:37Z-
dc.date.available2015-08-17T03:59:37Z-
dc.date.issued2555-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44322-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (น.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2555en_US
dc.description.abstractวิทยานิพนธ์เล่มนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การกันตัวผู้ร่วมกระทำผิดไว้เป็นพยานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ 2) พ.ศ. 2554 และกฎหมายของต่างประเทศได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ และประเทศอินโดนีเซีย เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคในกระบวนการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีทุจริตของข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง อีกทั้งแนะนำ แนวทางการแก้ไขปัญหาในการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอีกด้วย ผลของการวิจัย ผู้วิจัยพบว่าปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อนำมาชี้มูลความผิดต่อข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองนั้น คือ ผู้ร่วมกระทำผิดที่ไม่ใช่ตัวการสำคัญเกรงกลัวอิทธิพลซึ่งส่งผลถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของตนเองและบุคคลใกล้ชิด อีกทั้งยังขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเกี่ยวกับการคัดสรรผู้ร่วมกระทำผิดมาเป็นพยานและ การตรวจสอบการใช้ดุลพินิจ นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักของพยานซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดและการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตที่กระทำโดยข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามผ่านปัญหาการทุจริตไปได้ โดยสรุป ผู้วิจัยจึงเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาขีดความสามารถในการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีทุจริต โดยได้เสนอแนะให้มีบทบัญญัติหลักเกณฑ์ในการใช้ดุลพินิจในการกันตัวพยานให้ชัดเจน เปิดเผยและตรวจสอบได้ อีกทั้งเสนอให้ลงโทษผู้ร่วมกระทำความผิดที่ถูกกันไว้เป็นพยานที่กลับคำในชั้นศาลหรือเบิกความเท็จเป็นข้อหาต่างหาก รวมถึงเสนอแนะให้มีการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวกับการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมให้มีความเป็นเอกภาพและครอบคลุม และการใช้มาตรการส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอื่นๆ เช่น การคุ้มครองพยานและผู้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่รัฐและการจัดทำข้อตกลงการให้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือ ลดปัญหาการทุจริตในประเทศไทยen_US
dc.description.abstractalternativeThe purpose of this thesis is to conduct a comparative study of criteria on treating the accomplice as witness under domestic law, i.e. the Organic Act on Counter Corruption B.E. 2542 amended By (No.2), B.E. 2554 and international laws, i.e. the laws of the United States of America, the United Kingdom and Indonesia. The study also indicates problems and obstacles in the process of collecting evidence in corruption cases against high ranking public servants and government officials. Additionally, the study includes suggested methods for resolving problems in using discretionary power of the National Counter Corruption Commission. The result of the study shows that the major problem and obstacle in collecting evidence for convicting the high ranking public servants and government officials of the corruption offence is that the accomplice who does not play an important role in the offence is afraid of the power of those high ranking public servants and government officials which may harm his own life, body and property, as well as those of the persons who are closely related to the said accomplice. Furthermore, there is a problem on inequality of the use of discretionary power of the National Counter Corruption Commission. Briefly the researcher has realized the necessity of the ability to obtain the accomplish witness testimony in corruption case, so the researcher has proposed that Thailand should have a clear legislation on the use of discretionary power of The National Counter Corruption Commission as well as the extra sanction for the witness who has been false testified. Including the codification of the legislation on obstruction of justice. All of these measures mentioned above to energized the power of Thai’s Counter Corruption strategy.en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.relation.urihttp://doi.org/10.14457/CU.the.2012.568-
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.subjectการสืบสวนการทุจริต -- ไทยen_US
dc.subjectการทุจริต -- กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ -- ไทยen_US
dc.subjectพยานen_US
dc.subjectพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542en_US
dc.subjectCorruption investigation -- Thailanden_US
dc.subjectCorruption -- Law and legislation -- Thailanden_US
dc.subjectProsecutionen_US
dc.subjectThe Organic Act on Counter Corruption B.E. 2542en_US
dc.titleพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 : ศึกษากรณีการนำมาตรการกันตัวบุคคลเป็นพยานมาใช้บังคับen_US
dc.title.alternativeThe Organic Act on Counter Corruption B.E. 2542 Amended by (No.2), B.E. 2554 : a study of the immunity from prosecutionen_US
dc.typeThesisen_US
dc.degree.nameนิติศาสตรมหาบัณฑิตen_US
dc.degree.levelปริญญาโทen_US
dc.degree.disciplineนิติศาสตร์en_US
dc.degree.grantorจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.email.advisorPareena.S@Chula.ac.th-
dc.identifier.DOI10.14457/CU.the.2012.568-
Appears in Collections:Law - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Thanisara_ph.pdf1.63 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.