Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61092
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorศุภลักษณ์ พินิจภูวดล-
dc.contributor.authorสุทธิพร กระแสสินธุวานนท์-
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์-
dc.date.accessioned2018-12-24T04:25:09Z-
dc.date.available2018-12-24T04:25:09Z-
dc.date.issued2560-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61092-
dc.descriptionเอกัตศึกษา(ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560en_US
dc.description.abstractปัจจุบันคนทุกเพศทุกวัยต่างให้ความสำคัญและหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น เนื่องจากการมีสุขภาพที่ดีนั้นถือเป็นลาภอันประเสริฐที่ไม่สามารถหาซื้อได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะมีวิถีในการดำเนินชีวิตอย่างไร การเจ็บป่วยก็ยังเป็นภัยที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินจากการที่ต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาล อีกทั้งอาจกระทบต่อครอบครัวด้วยได้ แม้ว่าเราอาจป้องกันการเจ็บป่วยได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพตนเองหรือการมีวิถีที่ถูกสุขลักษณะ ทั้งนี้ การมีประกันสุขภาพก็อาจบรรเทาความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจของตนเองและครอบครัวอันเกิดจากความเจ็บป่วยดังกล่าวได้ ซึ่งคนทั่วไปจึงปรารถนาให้ตนและครอบครัวได้มีการประกันสุขภาพอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อผลักความเสี่ยงนี้ออกไปจากตนเอง ในปัจจุบันภาครัฐได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 34 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรและได้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 315) เกี่ยวกับเงินได้ที่เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ แต่เนื่องจากค่าลดหย่อนนี้ต้องนำมารวมคำนวณกับค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งการประกันทั้งสองประเภทนี้มีวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน โดยการประกันสุขภาพนั้นมุ่งถึงการเจ็บป่วยหรือการเสียสุขภาพ ในขณะที่การประกันชีวิตนั้นมุ่งถึงชีวิต ซึ่งขัดต่อหลักความเสมอภาคทางภาษี ในขณะที่ต่างประเทศนั้น เช่น ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น ได้แยกการประกันสุขภาพ และการประกันชีวิตออกจากกัน รวมทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งในส่วนของผู้มีเงินได้และรวมถึงครอบครัวของผู้มีเงินได้ ในขณะที่ประเทศไทยได้รับสิทธิประโยชน์ในส่วนของผู้มีเงินได้ และบิดามารดาของผู้มีเงินได้เท่านั้น ดังนั้นเอกัตศึกษาฉบับนี้จึงศึกษาถึงหลักภาษีอากร และหลักเกณฑ์การให้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกัน สุขภาพและเบี้ยประกันชีวิต ประกอบกับการศึกษากฎหมายต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่ได้ทำการศึกษา คือ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ พบว่า มาตรการดังกล่าวไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับหลักความเสมอภาคและก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายและค่าภาษีแก่ผู้มีเงินได้จึงสมควรให้กำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมแตกต่างกัน โดยการแยกสิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพแยกออกจากเบี้ยประกันชีวิต รวมถึงการให้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงคู่สมรสของผู้มีเงินได้และบุตร เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางภาษีและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและค่าภาษีของผู้มีเงินได้en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.relation.urihttp://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.40-
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.subjectประกันสุขภาพen_US
dc.subjectกฎหมายเศรษฐกิจ--ประกันชีวิตen_US
dc.titleความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าเบี้ยประกันสุขภาพen_US
dc.typeIndependent Studyen_US
dc.degree.nameศิลปศาสตรมหาบัณฑิตen_US
dc.degree.levelปริญญาโทen_US
dc.degree.disciplineกฎหมายเศรษฐกิจen_US
dc.degree.grantorจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.email.advisorSupalak.P@Chula.ac.th-
dc.subject.keywordลดหย่อนเบี้ยประกันen_US
dc.subject.keywordสิทธิประโยชน์ทางภาษีen_US
dc.identifier.DOI10.58837/CHULA.IS.2017.40-
Appears in Collections:Law - Independent Studies

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
598 62631 34.pdf822.1 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.