Abstract:
ศึกษาความคิดเห็นของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย ต่อตัวชี้วัดการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ เก็บข้อมูลระหว่างเดือน เมษายน-กรกฎาคม 2545 โดยส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ถึงนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย จำนวน 180 คู่ ในสถานประกอบการ 180 แห่ง อัตราการตอบกลับของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย เท่ากับ 66.7% และ 68.3% (123 แห่ง) ตามลำดับ เปรียบเทียบความแตกต่างโดย Mann Whitney U test, Kruskal Wallis test, Paired t-test, McNemar's test และหาความสัมพันธ์โดย Spearman's rank correlation coefficient ผลการศึกษา พบว่านายจ้างมีอายุเฉลี่ย 41.1 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (63.3%) มีการศึกษาระดับปริญญาตรี (74.2%) ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหรือผู้บริหาร (91.7%) ระยะเวลาเฉลี่ยในการดำรงตำแหน่ง 7.8 ปี และเห็นด้วยต่อการมีการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ (86.7%) เจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัยมีอายุเฉลี่ย 36.4 ปี สัดส่วนเพศชายและเพศหญิงใกล้เคียงกัน (52.0% และ 48.0% ตามลำดับ) ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี (59.3%) ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (54.5%) ระยะเวลาเฉลี่ยในการดำรงตำแหน่ง 6.5 ปี เห็นด้วยต่ดการมีการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ (91.0%) สถานประกอบการ 123 แห่ง ส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (40.7%) มีกิจกรรมด้านการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ (60.2%) ไม่มีผู้รับผิดชอบด้านการสร้างเสริมสุขภาพโดยตรง (69.1%) มีงบประมาณสนับสนุนด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (53.7%) เป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ (61.0%) ไม่เป็นสาขาของบริษัทข้ามชาติ (81.3%) ในภาพรวมความคิดเห็นของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย ต่อตัวชี้วัดในด้านความเหมาะสมมีคะแนนเฉลี่ยจัดอยู่ในระดับมีความเหมาะสมสูง ส่วนด้านความสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุตามเกณฑ์ได้ มีตัวชีวัด 9 ข้อ ที่นายจ้างน้อยกว่า 50% เห็นว่าสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุได้ และตัวชี้วัด 10 ข้อ ที่เจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัยน้อยกว่า 50% เห็นว่าสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุได้ ตัวชี้วัด 3 ข้อ ได้แก่ มีการให้ความรู้และฝึกอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยให้แก่พนักงานทุกคน มีการดำเนินโครงการจัดการความเครียดสำหรับพนักงาน และสถานประกอบการมีกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยรอบสถานประกอบการ มีคะแนนความคิดเห็นของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย ในด้านความเหมาะสมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) และตัวชี้วัดมีการดำเนินงานและบันทึกผลการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มีคะแนนความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) ความคิดเห็นของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัยต่อตัวชี้วัด การจัดให้มีการตรวจสุขภาพของพนักงานเป็นระยะตามปัจจัยเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ ในด้านความสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุได้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ตามความคิดเห็นของนายจ้างและเจ้าหน้าที่ด้านอาชีวอนามัย ตัวชี้วัดการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการนี้มีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในสถานประกอบการ และตัวชี้วัดส่วนใหญ่สามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุได้ ตัวชี้วัดนี้จะเป็นประโยชน์ในการนำไปเป็นแนวทางและใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ ซึ่งจะสะท้อนถึงสถานภาพของการสร้างเสริมสุขภาพและนำไปสู่การพัฒนาได้