Abstract:
การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นปัญหาสำคัญของมนุษยชาติ ได้มีการคิดวิธีการปราบปรามและต่อต้านหลายมาตรการ ด้วยมีจุดหมายให้สังคมนั้นปลอดจากการทุจริต เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า ประเทศใดไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ถนนภายในประเทศนั้นสามารถปูด้วยทองคำ ประเทศไทยมีปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่เช่นกัน มีการพัฒนาจากเดิมที่กระทำเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐมาเป็นการร่วมกระทำกับ เอกชน และมีการใช้นิติบุคคลกระทำความผิดในลักษณะข้ามชาติด้วย ลำพังกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วยมาตรการต่อต้านในการดำเนินการกับทรัพย์สิน ที่ได้จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงในแต่ละฉบับต่างไม่เพียงพอในการบังคับใช้ ทั้งตัวกฎหมายและวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ทำให้ปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวงทวีความรุนแรงขึ้น การศึกษานี้เป็นมาตรการหนึ่ง คือ การดำเนินการจัดการกับทรัพย์สินที่ได้จากการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญาของไทยมีปัญหาในเรื่องการต้องพิสูจน์ว่ามีการกระทำ ความผิดอาญาฐานฉ้อราษฎร์บังหลวงเสียก่อนจึงจะดำเนินการต่อทรัพย์สินที่ได้ จากการกระทำผิดนั้นได้ ในขณะที่กฎหมายพิเศษ ทั้งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ต่างมีปัญหาในกฎหมายที่ใช้คำว่า "การร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน" ในปัจจุบันประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้ไปลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัด ตั้งในลักษณะองค์กร ค.ศ. 2000 และร่วมจัดร่างอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านการทุจริต ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยยึดหลักการตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 2000 โดยได้เพิ่มเติมมาตรการที่กว้างขวางขึ้นซึ่งเมื่อมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ กฎหมายไปแล้ว เห็นได้ว่ากฎหมายของประเทศไทยไม่เพียงพอและมีขอบจำกัดในการบังคับใช้กับความ ผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง ในขณะที่หลักการอนุสัญญาฯ ทั้งสองฉบับมีข้อดีมากกว่าในการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงเพราะว่า สามารถจัดการทรัพย์สินที่มิชอบนั้นทั้งกว้างและลึกเนื่องจากได้ใช้กระบวนการ ทางอาญาและทางแพ่งผสมกันไป คล้ายคลึงกับกฎหมายลักษณะริบราชบาตรของไทยแต่โบราณ จากการศึกษาวิจัย ผู้เขียนพบว่ากฎหมายของประเทศไทยหากนำหลักการในอนุสัญญาทั้งสองฉบับที่ดีมา ใช้อาจเกิดปัญหากระทบสิทธิเสรีภาพในทรัพย์สินของประชาชน แต่อย่างไรก็ดีประเทศไทยควรมีกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับ ทรัพย์สินที่ได้จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้นมา โดยนำลักษณะทรัพย์สิน และวิธีการดำเนินการจัดการกับทรัพย์สินที่ได้จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงมาบัญญัติตามหลักการในอนุสัญญาทั้งสองฉบับไว้เป็นหมวดหมู่ โดยยกภาระการพิสูจน์ในเรื่องความบริสุทธิ์ของทรัพย์สินให้กับจำเลย ด้วยเหตุที่เป็นกฎหมายในการต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง จำเป็นต้องใช้วิธีการพิเศษ เพื่อป้องกันและปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป