Abstract:
วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะรวบรวมเพลงปฏิพากย์ภาคกลางไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อพัฒนาการของเพลงปฏิพากย์และบทบาทของเพลงปฏิพากย์ โดยเฉพาะมุ่งศึกษาบทบาทในการนำเสนอเรื่องเพศที่ปรากฏในเพลงชนิดนี้โดยอาศัยแนวพินิจในเชิงประวัติสังคมวิทยาและจิตวิเคราะห์ การเก็บข้อมูลสนามเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2520 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2522 ผลจากการเก็บข้อมูลผู้วิจัยสามารถรวบรวมเพลงปฏิพากย์ได้ 26 ชนิด รวมทั้งสิ้น 67 บท ผลจาการวิจัยแสดงว่าเพลงปฏิพากย์ในระยะแรกน่าจะเป็นเพลงปฏิพากย์สั้นที่เกิดจากการรวมหมู่เพื่อประโยชน์ในการทำงานร่วมกันและเพื่อใช้เกี้ยวพาราสีกัน ต่อมาจึงมีการผูกโครงเรื่องให้ซับซ้อนขึ้น และมีการสมมติบทบาททำให้มีลักษณะเป็นการแสดงจึงเกิดเพลงปฏิพากย์ยาว และท้ายสุดได้พัฒนากลายเป็นมหรสพประเภทหนึ่งที่แยกคนร้องออกจากกลุ่มคนฟัง เพลงปฏิพากย์เคยมีบทบาทอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในอดีต คือ ให้ความบันเทิง สร้างความสามัคคีในกลุ่ม ให้การศึกษา แนวทางการดำเนินชีวิต ถ่ายทอดค่านิยมในสังคม บันทึกเหตุการณ์ วิพากษ์วิจารณ์สังคม รมทั้งทำหน้าที่ระบายคามเครียดเก็บกดให้สังคมโดยแสดงออกในรูปของการพูดถึงเรื่องเพศ และการเสนอเนื้อหาสนับสนุนการละเมิดกรอบประเพณีของสังคม การที่เพลงปฏิพากย์ของไทยเต็มไปด้วยศัพท์สังวาสและโวหารเรื่องเพศเป็นเพราะอิทธิพลของคติความเชื่อดั้งเดิมซึ่งถือว่าเพศเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ของพืชและมนุษย์ ทั้งนี้อาจจะได้รับอิทธิพลของลัทธิฮินดู-ตันตระที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความเชื่อของคนไทย ความเชื่อต่างๆ เหล่านี้อาจพินิจในเชิงจิตวิเคราะห์ได้ว่าเป็นวิธีการหาทางระบายออกของสัญชาตญาณทางเพศแทบทั้งสิ้น เพลงปฏิพากย์จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการระบายความก้าวร้าวที่เก็บกดจากการถูกจำกัดสัญชาตญาณทางเพศ และเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกฎเกณฑ์ของสังคม ในสังคมไทยปัจจุบันเพลงปฏิพากย์ได้ลดบทบาทลงเกือบหมด ทั้งนี้เพราะอิทธิพลของระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตราซึ่งเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตะวันตกที่ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน สื่อมวลชนมีส่วนทำให้เพลงปฏิพากย์ลดบทบาทลงคงเหลือไว้เพียงบทบาทในการให้ความบันเทิงแก่กลุ่มรุ่นคนมีอายุซึ่งนับวันมีแต่จะสูญสิ้นเพราะขาดการสืบทอดโดยคนหนุ่มสาว