Abstract:
โดยหลักแล้วพยานหลักฐานทุกชนิดที่มีคุณสมบัติบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริง ที่พิพาทกันในคดีย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ซึ่งคำรับสารภาพของผู้ตัองหาเป็นพยานหลักฐานชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะผู้ที่จะรู้เห็นการกระทำความผิดได้ดีที่สุดก็คือ ผู้กระทำความผิดเอง คำรับสารภาพของผู้ต้องหาจึงมีคุณค่าในทางพยานหลักฐาน และมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่บางครั้งการแสวงหาพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ อาจจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เช่น อาจจะใช้วิธีการอันไม่ชอบด้วยกฏหมายบีบบังคับ หรือจูงใจให้ผู้ต้องหารับสภาพ ซึ่งเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยตรง และเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 โดยกำหนดวิธีปฏิบัติในการสอบคำให้การของผู้ต้องหาไว้อย่างเคร่งครัด ให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวน หากฝ่าฝืน คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้มา ก็ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของผุ้ต้องหาคนนั้นได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพความรุนแรงของอาชญากรรมในประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากการศึกษาการรับฟังคำรับสารภาพของผู้ต้องหาในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และเยอรมนี
ไม่พบประเทศใดที่วางหลักกฎหมายเกี่ยวกับการห้ามรับฟังคำรับสารภาพ ของผู้ต้องหาเป็นพยานหลักฐานอย่างเคร่งครัดเหมือนดังเช่นประเทศไทย เนื่องจากการวางหลักเกณฑ์ในเรื่องของการรับฟังพยานหลักฐานไว้อย่างเคร่งครัดเกินไปนั้น จะมีผลต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีและทำให้ยากต่อการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายในเรื่องการรับฟังคำรับสภาพของผุ้ต้องหาไว้อย่างเคร่งครัด เพียงเพื่อมุ่งคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาเพียงด้านเดียว จึงเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม และเพื่อมิให้กฏหมายเกี่ยวกับการรับฟังคำรับสารภาพของประเทศไทยมีความเคร่งครัดจนเกินจำเป็น จึงควรมีการแก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการรับฟังคำรับสารภาพของผู้ตัองหาให้มีความยีดหยุ่นยิ่งขึ้น โดยให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจรับฟังคำรับสารภาพของผู้ต้องหาได้ หากเห็นว่าเพื่อประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรม โดยวางหลักของการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้กฏหมายเกี่ยวกับการรับฟังคำรับสารภาพเป็นพยานหลักฐานในประเทศไทย มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันเหมือนกฏหมายที่เป็นอยู่ในระบบสากล