Abstract:
ศึกษาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้มาจาก การกระทำความผิดคอร์รัปชั่นตามที่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ซึ่งกำหนดบทบัญญัติ หลักเกณฑ์ และมาตรการต่างๆ ในการปราบปรามคอร์รัปชั่น โดยกำหนดถึงวิธีการในการเรียกคืนทรัพย์สินโดยตรง ซึ่งจะศึกษา เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศสหราชอาณาจักรในเรื่อง การเรียกคืนหรือริบทรัพย์สิน ทั้งนี้เพื่อประเมินว่ากฎหมายไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันในเรื่องดังกล่าวมีความสอดคล้องกับข้อบทในอนุสัญญานี้หรือไม่ เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิจารณาว่าจะต้อง ดำเนินการอย่างไรในการแก้ไข หรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าวนี้ จากการศึกษาพบว่าประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดถึงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ การเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดโดยตรงอย่างชัดเจน ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ก็มิได้กำหนดให้การริบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ขยายความรวมไปถึงทรัพย์สินที่เปลี่ยนสภาพไปแล้วด้วย
นอกจากนี้ความไม่สอดคล้องของกฎหมายไทยในเรื่องมาตรการดำเนินการกับทรัพย์สินนั้นมีอยู่ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามารถถูกยึด อายัด หรือริบได้ โดยขอบเขตของทรัพย์สินที่สามารถยึด อายัด หรือริบได้ตามกฎหมายไทยนั้นแคบกว่าบทบัญญัติของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ผลที่ได้จากการศึกษา คือ ประเทศไทยควรมีบทบัญญัติทางกฎหมายอันเกี่ยวกับ การเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดที่ชัดเจนแน่นอน โดยเทียบกับแนวทาง การบัญญัติกฎหมาย และการดำเนินการของต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการ ปราบปรามการคอร์รัปชั่น ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ