Abstract:
ในปัจจุบันการกระทำความผิดในคดีฟอกเงินได้พัฒนารูปแบบขึ้นเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ได้อาศัยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการประกอบอาชญากรรม นอกจากนั้นอาชญากรรมประเภทนี้ยังมีลักษณะพิเศษต่างๆที่ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐาน ถึงแม้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 จะได้มีมาตรการพิเศษเพื่อใช้ในการแสวงหาพยานหลักฐานไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการเรียกสถาบันการเงิน หน่วยงาน หรือบุคคลต่างๆเข้ามาให้ข้อมูล การค้นโดยไม่มีหมาย การเข้าถึงข้อมูลทางโทรศัพท์ หรือข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ การรายงานธุรกรรม ฯลฯ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการใช้บังคับ ทำให้การแสวงหารวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อใช้ในการดำเนินคดีและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้ศึกษาถึงมาตรการพิเศษในการการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งในกฎหมายต่างๆ มาตรการที่ใช้ในต่างประเทศ และมาตรการที่ใช้ในอนุสัญญาต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพนำมาปรับใช้กับการกระทำผิดในคดีฟอกเงิน ซึ่งมาตรการที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ได้แก่
การสอบสวนในรูปแบบคณะกรรมการ, การแฝงตัว, การอำพราง,การขอให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่, การร้องขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล, การครอบครองภายใต้การควบคุม, มาตรการติดตามข้ามแดน, มาตรการส่งเสริมความร่วมมือทางทรัพย์สินที่เป็นผลต่อการรวบรวมพยานหลักฐาน, การล่อขาย, การกำหนดความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และการต่อรองคำรับสารภาพ อนึ่ง มาตรการพิเศษในการรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวนี้มีประโยชน์สำคัญและใช้ในขั้นตอนที่แตกต่างกัน ทำให้มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป การใช้เพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่ง ไม่อาจจะทำให้สามารถป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้ แต่การนำมาตรการต่างๆ มาใช้ประกอบกันอย่างเหมาะสม จะสามารถขจัดอุปสรรคของการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีฟอกเงินได้ ส่งผลให้สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและจัดการกับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ