Abstract:
ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นองค์ประกอบขั้นมูลฐานประการหนึ่ง ที่แสดงวัฒนธรรมประจำชาติและอารยธรรมของมนุษย์ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึง ความเป็นไปในอดีตในด้านต่างๆ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเกียรติและความภาคภูมิใจของมวลมนุษยชาติ การที่จะหยั่งทราบและชื่นชมคุณค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินทางวัฒนธรรมนั้น จำเป็นที่จะต้องรู้ คำนึงถึง และเข้าใจทรัพย์สินทางวัฒนธรรมนั้นในบริบทที่สัมพันธ์กับถิ่นกำเนิด ประวัติศาสตร์และสถานที่ตั้งเดิมที่ทรัพย์สินนั้นปรากฏแต่แรกเริ่ม ดังนั้นจึงเป็นภาระหน้าที่ของแต่ละประเทศ ที่จะต้องคุ้มครองป้องกันทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในประเทศของตน มิให้สูญเสียไปโดยถูกขโมยถูกลักลอบขุดค้นลักพาไป หรือถูกลักลอบนำออกไปนอกประเทศและเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว แต่ละประเทศจึงควรยึดถือเป็นพันธกรณีไม่ใช่แต่เพียงการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของตน แต่จะต้องร่วมมือกันเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติให้คงอยู่สืบไป วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมุ่งที่จะศึกษาถึงผลกระทบของประเทศไทย ซึ่งได้รับจากการภาคยานุวัติเข้าเป็นภาคีอนุสัญญายูเนสโก ว่าด้วยวิธีการในการห้ามและป้องกัน การนำเข้า การส่งออก และการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ค.ศ. 1970 ซึ่งมีสาระสำคัญในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรม โดยอาศัยมาตรการและกลไกในการนำเข้าและส่งออก ทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภายในประเทศในการศึกษาวิจัย ผู้เขียนมีความเห็นว่า การคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมให้ได้ผลนั้นต้องอาศัยความร่วมมือ จากองค์กรเอกชนและประชาชนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ ลำพังหน่วยงานของรัฐคงไม่อาจที่จะรับภาระในด้านนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลไทยต้องร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้และควรที่จะเข้าเป็น ภาคีอนุสัญญายูเนสโก ปี ค.ศ. 1970.