Abstract:
เศรษฐศาสตร์การเมืองในการออกแบบกฎหมายปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2518 มีอยู่สามระลอกใหญ่ๆ ระลอกแรกในปี พ.ศ. 2476 เค้าโครงการเศรษฐกิจที่คณะราษฎรนำเสนอมีเนื้อหาสาระในการรวมที่ดิน ถูกต่อต้านจากคณะเจ้าและขุนนางข้าราชการชั้นสูงอย่างรุนแรงจน นายปรีดี พนมยงค์ ถูกปลดและต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ระลอกที่สองรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตราพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 ซึ่งมีเนื้อหาสาระในการจำกัดการถือครองที่ดิน ต่อมาถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 49 โดยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ระลอกที่สามภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จากการเรียกร้องที่ดินทำกินของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย และรัฐบาลเฉพาะกาลได้ตราพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ซึ่งมีเนื้อหาสาระในการจัดหาที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินของรัฐเพื่อให้ราษฎรทำกิน ประกาศใช้เป็นกฎหมายในสมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ การศึกษาใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มองทุกสรรพสิ่งแบบองค์รวม (Holistic) โดยไม่แยกส่วนไม่ว่าจะเป็นปัจจัย เศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ กฎหมาย กฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฯลฯ รวมทั้งแนวคิดเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ตามธรรมชาติ กรรมสิทธิ์รวมหมู่ชุมชน กรรมสิทธิ์แนวพุทธและกรรมสิทธิ์เอกชน ผลของการศึกษาพบว่า นโยบายปฏิรูปที่ดินที่มาจากความตั้งใจจะแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินซึ่งดำรงอยู่ก่อนการเปลี่ยนแปลง 2475 ของคณะราษฎร แต่การที่คณะราษฎรไม่สามารถกุมอำนาจไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และการแตกกันเองภายในของคณะราษฎร รวมทั้งนโยบายปฏิรูปที่ดินด้วยการรวมที่ดินส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อการถือครองที่ดิน ของคณะเจ้าและขุนนางข้าราชการชั้นสูง ทำให้ถูกต่อต้านจนกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะพูดถึง ในขณะที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถผ่านเป็นกฎหมายได้เพราะการกุมอำนาจในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่ก็ถูกยกเลิกเพราะไปขัดกับหลักการเศรษฐกิจเสรีนิยม ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจของธนาคารโลก ส่วน พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 สามารถผ่านเป็นกฎหมายในสถานการณ์ทางการเมืองยุคที่ประชาธิปไตยเบ่งบานโดยรัฐบาลพระราชทาน เพราะเนื้อหาสาระไม่กระทบกระเทือนการถือครองที่ดินของกลุ่มทุน