Abstract:
หลักกฎหมายเกี่ยวกับการให้เอกสิทธิ์สำหรับพยานบุคคล มีผลทำให้บุคคลซึ่งได้รับเอกสิทธิ์มีสิทธิพิเศษบางประการที่จะไม่ต้องถูกบังคับไปปรากฏตัวต่อศาลเพื่อเป็นพยาน ไม่ต้องสาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณก่อนการเบิกความ ไม่ต้องเบิกความเลย หรือไม่ต้องเบิกความถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยเหตุที่หลักกฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองคุณค่าทางสังคมซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการค้นหาความจริงจากพยานบุคคล และถึงแม้ว่าการให้เอกสิทธิ์นี้มีผลเป็นการขัดขวางต่อการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินคดีอาญาซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของจำเลยเป็นอย่างยิ่งก็ตาม แต่การที่มิได้กำหนดให้เอกสิทธิ์สำหรับพยานบุคคลในบางสถานะไว้เลยนั้นยิ่งจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสังคมมากกว่า ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงได้มีการกำหนดให้เอกสิทธิ์สำหรับพยานบุคคลซึ่งมีสถานภาพพิเศษบางประการหรือดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานบางอย่างไว้ในกฎหมาย
สำหรับประเทศไทยมีการกำหนดให้เอกสิทธิ์สำหรับพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้แทนทางการทูต พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา รวมถึงผู้ประกอบอาชีพ สำหรับการเป็นพยานบุคคลไว้ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การให้เอกสิทธิ์สำหรับพยานบุคคลในคดีอาญาเนื่องจากสถานะของพยานบุคคลตามกฎหมายไทยยังมีความไม่เหมาะสมหลายประการ ได้แก่ การให้เอกสิทธิ์สำหรับพระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนาที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเปิดโอกาสให้มีการหลีกเลี่ยงกฎหมาย การให้เอกสิทธิ์สำหรับผู้ประกอบอาชีพที่มีขอบเขตไม่เหมาะสม รวมถึงการที่กฎหมายมิได้กำหนดให้เอกสิทธิ์สำหรับบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลย ดังนั้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงทำการศึกษาถึงการให้เอกสิทธิ์สำหรับพยานบุคคลในคดีอาญาตามกฎหมายของประเทศไทย ประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น และประเทศฝรั่งเศส เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางในการพัฒนากฎหมายของประเทศไทย