Abstract:
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข แนวความคิดและเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากรเกี่ยวกับการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุพการีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 47 (1) (ญ) ที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ แต่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 136 กำหนดเพิ่มเติมให้ “บุตร” ต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายจึงจะสามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ การกำหนดดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งและเกินกว่าประมวลรัษฎากรกำหนดไว้ ส่งผลจำกัดสิทธิของบุตรบุญธรรมในการหักลดหย่อนภาษี จากการศึกษาพบว่า การหักลดหย่อนภาษีจากการอุปการะเลี้ยงดูเกิดจากแนวคิดการจูงใจให้มีการช่วยเหลือดูแลบุพการีสูงอายุและบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้เลี้ยงดู มาตรการเช่นนี้มีใช้อยู่ในต่างประเทศเช่นกัน เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา โดยให้ความสำคัญกับสาระของการอุปการะเลี้ยงดูอย่างแท้จริง สำหรับประเทศไทยพบว่าจากการประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติล้วนมุ่งประสงค์ให้เกิดการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาจึงควรให้สิทธิทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม แต่ประกาศอธิบดีกำหนดให้บุตรต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามนัยกฎหมายภาษีอากรบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรมนั้นแตกต่างกัน และไม่อาจนำความหมายตามกฎหมายครอบครัวมาใช้ในกฎหมายภาษีอากรได้ จึงพิจารณาได้ว่าประกาศอธิบดีไม่สอดคล้องกับกฎหมายแม่บทและเจตนารมณ์ ก่อให้เกิดการจำกัดสิทธิของบุตรบุญธรรม ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อบุตรบุญธรรมและไม่สนับสนุนให้บุตรบุญธรรมอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาบุญธรรมทั้งยังทำให้ภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุตกอยู่แก่รัฐ ดังนั้น กรมสรรพากรควรพิจารณาดำเนินการแก้ไขประกาศอธิบดีให้บุตรบุญธรรมที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาบุตรบุญธรรมสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ และให้บุตรทุกคนหักลดหย่อนภาษีได้ตามสัดส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดู