Abstract:
เป็นที่ยอมรับกันว่าโครงการการวางแผนครอบครัวของประเทศไทย ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในปัจจุบัน ผลจากการวิจัยพบว่า สาเหตุสำคัญของการเพิ่มอัตราการใช้การวางแผนครอบครัวในช่วง พ.ศ. 2513-2522 เป็นผลจากการเพิ่มอุปทานของบุตรและลดอุปสงค์ต่อบุตร ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการวางแผนครอบครัวทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินก็ถูกลงด้วย จากประเด็นดังกล่าว ทำให้ผู้วิจัยสนใจศึกษาทิศทางของอุปสงค์และอุปทานของบุตร ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการใช้การวางแผนครอบครัวในปัจจุบันว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร ตลอดจนพิจารณาด้วยว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมีส่วนสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างไร ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล ของโครงการการสำรวจการคุมกำเนิดในประเทศไทยรอบที่ 3 ซึ่งดำเนินการโครงการดังกล่าวในช่วงระยะเวลาเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2526 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527 โดยความร่วมมือของ 3 หน่วยงานคือ สำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และกองอนามัยครอบครัว กระทรวงสาธารณสุข พอจะสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้ ผลของการศึกษาในครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทฤษฎีอุปสงค์ อุปทานของการใช้การคุมกำเนิดของ Easternlin และ Crimmins ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ กล่าวคือ เมื่อคู่สมรสมีแรงจูงใจที่จะคุมกำเนิดและหากว่าค่าใช้จ่ายในการใช้การคุมกำเนิดต่ำ คู่สมรสจะเลือกใช้การคุมกำเนิด นอกจากนี้ยังพบว่าตัวแปรแรงจูงใจไม่ว่าจะวัดจากความแตกต่างของอุปทานและอุปสงค์ของบุตร (Cn-Cd) อุปสงค์ของบุตร อุปทานของบุตร ความไม่ต้องการบุตรเพิ่ม ความแตกต่างของจำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันและอุปสงค์ของบุตร (C-Cd) และจำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการใช้การคุมกำเนิด อย่างไรก็ตามในบรรดาตัวแปรแรงจูงใจทั้งหมดที่นำมาศึกษาตัวแปร Cn-Cd เป็นตัวแปรที่ใช้วัดแรงจูงใจในการวางแผนครอบครัวได้ดีที่สุด ขณะเดียวกัน ตัวแปรค่าใช้จ่ายในการใช้คุมกำเนิด ซึ่งวัดจากจำนวนวิธีการคุมกำเนิดที่คู่สมรสรู้ ก็มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการใช้ และทั้งตัวแปรแรงจูงใจและค่าใช้จ่ายก็เป็นตัวแปร 2 ตัวแปรที่เสริมกันในการอธิบายการยอมรับการวางแผนครอบครัว ในส่วนของปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อตัวแปร Cd Rc และองค์ประกอบของ Cn บางตัว เช่น สัดส่วนการตายของเด็ก และระยะเวลาการสมรส พบว่าการศึกษาของสตรี เขตที่อยู่อาศัย และระดับการมีไฟฟ้าใช้มีผลต่อตัวตัวแปรดังกล่าวในทิศทางที่คาดหวังไว้ (แม้ว่าบางครั้งความสัมพันธ์ดังกล่าว จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 95 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม)กล่าวคือ ในกลุ่มสตรีที่มีการศึกษาสูง ที่อยู่ในเมือง และระยะเวลาของการมีไฟฟ้ายาวนานกว่า จะมีสัดส่วนการตายของเด็กในระดับต่ำ มีระยะเวลาการสมรสสั้นกว่า มีความต้องการบุตรน้อย และรู้วิธีการใช้การวางแผนครอบครัวมากกว่ากลุ่มสตรีที่มีการศึกษาต่ำ และ/หรืออาศัยอยู่ในเขตชนบท ตลอดจนการมีไฟฟ้าใช้ช่วงเวลาสั้นกว่า สำหรับการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร องค์ประกอบของ Cn ตัวอื่น เช่น การไม่เป็นหมันหลังจากเคยมีบุตร (NSS) และสัดส่วนการสูญเสียจากการตั้งครรภ์ (PREGWAS)นั้น มักจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางสรีรวิทยามากกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม