Abstract:
ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และปัญหาประสิทธิภาพของระบบ ประกอบกับการเตรียมความพร้อมในการปฏิรูประบบราชการได้มีการเสนอให้มีการนำระบบสวัสดิการสาธารณะที่มีอยู่แล้วทั่วไปมาใช้แทนสวัสดิการรักษาพยาบาลที่เป็นอยู่ โดยให้บุคลากรมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งและมหาวิทยาลัยจ่ายให้อีกส่วนหนึ่ง การศึกษาในเรื่องวงเงินเบี้ยประกันที่พึงใจจ่ายในการทำประกันสุขภาพของข้าราชการและลูกจ้างประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเกิดขึ้น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ข้าราชการและลูกจ้างประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเพื่อสอบถามถึงค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรเต็มใจที่จะจ่าย เมื่อบุคลากรมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 60 โดยศึกษาเฉพาะบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่อายุไม่เกิน 50 ปี ทั้งที่เป็นโสดและสมรสแล้ว แต่คู่สมรสต้องไม่ประกอบอาชีพในหน่วยงานราชการ ยกเว้นคู่สมรสที่รับราชการในหน่วยงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ตุลาคม (พ.ศ. 2544) จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และปัจจัยที่กำหนดค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรเต็มใจที่จะจ่ายด้วยแบบจำลองโทบิต (Tobit Model) โดยมีจำนวนตัวอย่างที่ใช้ในการวิเคราะห์เท่ากับ 823 ตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรเต็มใจที่จะจ่ายด้วยแบบจำลองโทบิตพบว่า ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบุคลากรที่มีอายุไม่เกิน 50 ปีเต็มใจที่จะจ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 594 บาทต่อเดือน โดยบุคลากรในสายงานอาจารย์มีค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรเต็มใจที่จะจ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 708 บาทต่อเดือน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรสายงานข้าราชการสาย ข. และ ค. เต็มใจที่จ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 602 บาทต่อเดือน และค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรสายงานลูกจ้างประจำเต็มใจที่จะจ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 492 บาทต่อเดือน โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบุคลากรที่มีอายุไม่เกิน 50 ปีเต็มใจที่จะจ่าย ได้แก่ ระดับการศึกษา รายได้รวมของครอบครัวต่อเดือน จำนวนสมาชิกในครอบครัวที่ต้องการให้ครอบคลุมจากการทำประกัน ความต้องการในการทำประกันชีวิต และวงเงินผลประโยชน์สูงสุดที่ต้องการทำสำหรับกรณีผู้ป่วยใน โดยมีความสัมพันธ์กับค่าเบี้ยประกันสุขภาพในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ส่วนปัจจัยอื่นๆ เช่น เพศ อายุ ไม่มีอิทธิพลต่อค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่บุคลากรเต็มใจที่จะจ่ายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ