Abstract:
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้จัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรก โดยบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย อีกทั้งยังบัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ ตามมาตรา 268 ศาลจึงเป็นองค์กรหนึ่งที่ต้องถูกผูกพันต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณียังมีความไม่ชัดเจนอยู่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่วินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จะผูกพันศาล กล่าวโดยเฉพาะศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในลักษณะไหน อย่างไร จากการศึกษาพบว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคสาม ได้บัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบกระเทือนคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้วนั้น ในทางคดีอาญา เมื่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลได้ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญในกรณีนี้เห็นว่า ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด ที่ต้องรับโทษตามกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่โดยที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคสาม ได้บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่กระทบกระเทือนคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องโทษให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญา จากปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนได้เสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีอาญา ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะบัญญัติถึงผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีอาญาว่า ในคดีอาญา เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ศาลได้ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ในกรณีนี้มีผลให้มีการขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้