Abstract:
ศึกษาความชุก ลักษณะทางคลินิกและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ของโรคติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ที่มีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด รูปแบบการวิจัย: การวิจัยเชิงพรรณนาแบบไปข้างหน้า สถานที่ศึกษา: แผนกผู้ป่วยใน ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประชากร: ผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือนที่มีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยใน ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ช่วงเดือนเมษายน 2546-เดือนกุมภาพันธ์ 2547 โดยไม่รวมคนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือคนไข้ที่นอนโรงพยาบาลนานเกิน 14 วัน วิธีการศึกษา: ผู้ป่วยที่เข้ากฎเกณฑ์การศึกษา จะได้รับการเก็บข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ ประวัติ ผลการตรวจร่างกาย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และจะได้รับการตรวจเลือดและ/หรือน้ำไขสันหลัง เพื่อหาสารพันธุกรรมของเอ็นเทอโรไวรัสด้วยวิธีการ NASBA และจะได้รับการติดตามการดำเนินโรค และการรักษาที่ได้รับขณะอยู่โรงพยาบาล ผลการศึกษา: มีผู้ป่วยเด็กที่เข้าร่วมการศึกษา 56 ราย แบ่งเป็นคนไข้ที่แผนกทารกแรกเกิด 20 รายและที่ตึก สก. (เคยกลับบ้านหลังจากคลอด) 36 ราย พบผู้ป่วยติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 36.1% ของผู้ป่วยเด็กซึ่งเคยกลับบ้านหลังจากคลอดแล้ว และ Admit ด้วยเรื่องสงสัยการติดเชื้อในกระแสเลือด และไม่พบผู้ติดเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยที่แผนกทารกแรกเกิดเลย กลุ่มอาการที่พบมากที่สุดคือไข้สูงโดยไม่มีอาการตามระบบอื่น โดยพบ 10 ราย (76.9%) ผู้ป่วย 3 ราย (23.1%) มีอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาการสำคัญที่พบเรียงตามลำดับคือ ไข้สูง (92%) ซึมลง (54%) มีผื่น (54%) จากผลการตรวจน้ำไขสันหลังพบมี CSF Pleocytosis 7 ราย (58%)พบการติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสในระบบประสาทส่วนกลางร่วมด้วย 10 ราย (76.9%) ระยะเวลาเจ็บป่วยเฉลี่ยนาน 3 วัน ทุกรายกลับบ้านได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน ผู้ป่วยติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 76.9% ได้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดเฉลี่ยนาน 5 วัน ระยะเวลาอยู่โรงพยาบาลเฉลี่ยนาน 8.1 วัน บทสรุป: การติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสพบเป็นสาเหตุสำคัญของผู้ป่วยเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ที่มีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยพบ 36.1% ของผู้ป่วยเด็กซึ่งเคยกลับบ้านหลังจากคลอดแล้ว และถูกรับตัวไว้รักษาที่แผนกผู้ป่วยในด้วยเรื่องสงสัยการติดเชื้อในกระแสเลือด อาการสำคัญได้แก่ ไข้สูงโดยไม่มีอาการตามระบบอื่น ซึมลง มีผื่น การตรวจหาสารพันธุกรรมเอ็นเทอโรไวรัสด้วยวิธีการ NASBA ในเลือดและ/หรือน้ำไขสันหลัง พบว่าเป็นวิธีที่รวดเร็ว และมีความไวสูงในการวินิจฉัยโรคนี้