Abstract:
ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540) กำหนดให้คณะกรรมการสรรหากรรมการ การเลือกตั้งมีหน้าที่สรรหาและเสนอชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมเป็นกรรมการการเลือกตั้งเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อ เลือกเป็นกรรมการการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการสรรหาดังกล่าว มีได้บัญญัติรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งไว้ จึงทำให้เกิดประเด็นปัญหาในทางปฏิบัติขึ้นว่าคณะกรรมการ สรรหากรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่เพียงไร โดยในเวลาต่อมา ประเด็นปัญหาดังกล่าวก็ได้เข้าไปสู่การ วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มุ่งศึกษาถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 38/2545 เกี่ยวกับการใช้อำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง ว่า คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจใน การออกกฎระเบียบหรือดำเนินการอื่นเพื่อให้การปฏิบัติการตามหน้าที่สำเร็จลุล่วงได้หรือไม่เพียงใด และศึกษา ถึงผลกระทบจากเหตุผลในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า ก่อให้เกิดผลกระทบประการใดต่อหลักกฎหมาย และต่อความเป็นอิสระขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะศึกษาหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อไป จากการศึกษาพบว่า เหตุผลของคำวินิจฉัยดังกล่าวกระทบต่อหลักกฎหมายในเรื่องเขตอำนาจของศาล รัฐธรรมนูญที่มีหลักว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะเจาะจงอย่างชัดแจ้ง แต่ศาล รัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้วินิจฉัยทั้งที่ไม่ใช่กรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และยังกระทบต่อความเป็นอิสระขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจะ พ้นจากตำแหน่งต้องเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในเรื่องความเป็นอิสระขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ผู้เขียนจึงเสนอว่า ควรมีการแก้ไขบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งให้มีความชัดเจน มีหลักเกณฑ์ วิธีการสรรหาที่เป็นหลักเกณฑ์กลาง และนำมาใช้กับกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญทุกองค์กร แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องการ กำหนดประเด็นการทำคำวินิจฉัย อีกทั้งควรปรับเปลี่ยนอัตราส่วนที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยเพิ่ม อัตราส่วนของนักกฎหมายมหาชนให้มากขึ้นเป็นลำดับ