Abstract:
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาว่าการทดสอบภาคสนามสามารถใช้เป็นวิธีวินิจฉัยภาวะหลอดลมตีบที่เกิดจากการออกกำลังกายในประเทศร้อนชื้นเทียบเท่ากับวิธีการในห้องปฏิบัติการได้หรือไม่ โดยทำการศึกษาในนักกีฬาระดับอุดมศึกษาจำนวน 215 คน นักกีฬาทุกคนต้องทำการทดสอบสองครั้ง โดยทำการทดสอบครั้งแรกในห้องปฏิบัติการด้วยการวิ่งบนลู่กลที่ความหนัก 80% ของชีพจรสูงสุดภายใน 6-8 นาที ครั้งที่สองเป็นการทดสอบภาคสนามด้วยการวิ่ง 2000 เมตรภายในเวลา 6-10 นาทีหรือที่ความหนัก 80% ของชีพจรสูงสุด โดยต้องวัดค่า FEV1 ก่อนและหลังการวิ่งนาทีที่ 5, 10, 15, 20 และ 30 การวินิจฉัยว่าเกิดภาวะหลอดลมตีบที่เกิดจากการออกกำลังกายทำโดยใช้ค่า FEV1 ที่ลดลงมากกว่าหรือเท่ากับ 15% จากการศึกษาพบว่ามีนักกีฬาจำนวน 3 คน จาก 215 คนที่เกิดภาวะหลอดลมตีบหลังจากการออกกำลังกายในห้องปฏิบัติการ แต่ในขณะที่ผลการทดสอบภาคสนามของนักกีฬาทั้งสามคนไม่มีผู้ใดเลยที่เกิดภาวะหลอดลมตีบหลังจากการออกกำลังกาย จึงสรุปได้ว่าการทดสอบภาคสนามไม่สามารถใช้เป็นวิธีการตรวจภาวะหลอดลมตีบที่เกิดจากการออกกำลังกายในประเทศร้อนชื้นได้