Abstract:
ความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่กระทำโดยผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ก่อ ให้เกิดมลพิษขั้นรุนแรง และมีการสะสมในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานานจนเกิดผลเสียหายใน ระยะยาว ปัญหานี้เกี่ยวกับกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งมุ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่บำบัด ของเสียก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม แต่กระบวนการบำบัดดังกล่าวสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จึงลักลอบปล่อยของเสียโดยไม่ผ่านการ บำบัดตามที่กฎหมายกำหนดออกสู่สิ่งแวดล้อมจนกลายเป็นมลพิษ ปัญหาสำคัญคือกฎหมาย เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติที่มุ่งหมายป้องกันและ ปราบปรามการกระทำดังกล่าวโดยตรง วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึง การกำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นความผิด มูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยจำกัดขอบเขต การศึกษาเฉพาะการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงคุณภาพ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมทั้งกฎกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่าความผิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อมมีลักษณะเดียวกับความผิดมูลฐาน คือ ผู้กระทำมีแรงจูงใจในผลประโยชน์จำนวนมากที่ได้จากการลักลอบปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม แม้ตระหนักดีว่าการกระทำของตน ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และผลตอบแทนที่ได้จำนวนมากนี้มักถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดอย่างอื่นหรือ สร้างอิทธิพลแก่ตน ทำให้กลายเป็นวงจรอาชญากรรมต่อเนื่องไม่สิ้นสุดและยากที่จะปราบปราม ดังนั้น ผู้เขียนจึงเสนอให้นำมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอันเป็น มาตรการที่มีผลในเชิงยับยั้งการกระทำความผิดอย่างเด็ดขาดมาใช้บังคับในความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อเป็นการตัดวงจรอาชญากรรมและเพื่อให้การพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ