Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาวิจัยถึงปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาเลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ อันได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง, ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการ ตรวจเงินแผ่นดินโดยทำการศึกษาปัญหาตั้งแต่กระบวนการก่อนการพิจารณาของวุฒิสภากล่าวคือชั้นคณะกรรมการสรรหาฯ กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภา ตลอดจนขั้นตอนพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นอกจากนี้ยังได้ศึกษาเปรียบเทียบกับกระบวนการของต่างประเทศคือ กระบวนการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูล ประกอบการเสนอแนวทางในแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป และในงานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ประกอบกับการวิจัยภาคสนามโดยทำการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระบวนการนี้ ผลการศึกษาวิจัยพบว่าแม้ระบบการสรรหาขององค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับการออกแบบให้ ตอบสนองเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญบนพื้นฐานหลักความเป็นกลางและเป็นอิสระในการทำงาน โดยดำเนินการสรรหาในรูปแบบคณะกรรมการสรรหาฯ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีลักษณะการปฏิบัติที่ แตกต่างกันขึ้นกับดุลยพินิจของคณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้เปิดโอกาสให้ดำเนินการได้โดย ต้องไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างผลการสรรหาที่ควรจะเกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กับผลการสรรหาที่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ส่วนชั้นกระบวนการพิจารณา ของวุฒิสภาพบว่ามีการทำงานซ้ำซ้อนกันระหว่างคณะกรรมาธิการตามมาตรา 135 และคณะกรรมการ สรรหาฯ ในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลประวัติและความประพฤติของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นต้น ดังนั้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงได้เสนอแนวทางเพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายยิ่งขึ้น โดยกระบวนการก่อนพิจารณาของวุฒิสภา เสนอให้คณะกรรมการสรรหาฯ มีกรอบในการทำงานเป็นอย่างเดียวกัน และในชั้นกระบวนการพิจารณาของวุฒิสภาได้เสนอให้มีการแก้ไข เพิ่มเติมข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป