Abstract:
จุดประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระบบสืบพันธุ์หลังคลอดในโคนมหลังโดยใช้ฮอร์โมนพีจีเอฟทูอัลฟาและพีจีเอฟทูอัลฟาร่วมกับจีเอ็นอาร์เอชในแม่โคนมพันธุ์ผสมโฮลสไตน์ ฟรีเชียน ที่มีระยะหลังคลอด 42-48 วัน จำนวน 120 ตัว แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มทดลองโดยการสุ่ม แม่โคในกลุ่มควบคุมได้รับการจัดการผสมโดยการตรวจการเป็นสัดและผสมเทียมตามกฎ เช้า บ่าย กลุ่มทดลองที่ 1 แม่โคได้รับการฉีดพีจีเอฟทูอัลฟาขนาด 25 มิลลิกรัมและฉีดอีกครั้งอีก 14 วันต่อมา ผสมเทียมเมื่อแม่โคแสดงการเป็นสัด และฉีดซ้ำอีก 14 วันต่อมาถ้าแม่โคไม่แสดงการเป็นสัด แม่โคถูกผสมเทียมที่ 72-80 ชั่วโมงหลังการฉีดครั้งที่ 3 กลุ่มทดลองที่ 2 แม่โคได้รับการฉีดพีจีเอฟทูอัลฟา 2 ครั้งห่างกัน 14 วันและฉีดฮอร์โมนจีเอ็นอาร์เอชขนาด 20 ไมโครกรัมอีก 12 วัน ตามด้วยพีจีเอฟทูอัลฟาอีก 7 วัน ต่อมา ฉีดจีเอ็นอาร์เอชขนาด 10 ไมโครกรัมที่ 46-48 ชั่วโมงหลังฉีดพีจีเอฟทูอัลฟาและแม่โคจะได้รับการผสมเทียมที่ 16-18 ชั่วโมง ผลการศึกษาพบว่าในกลุ่มทดลองทั้งสองมีอัตราการได้รับการผสมที่ 90 วัน สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.01) แต่ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มทดลองทั้งสอง กลุ่มทดลองที่ 1 มีค่าเฉลี่ยของการได้รับการผสมครั้งแรก (69 วัน) ต่ำกว่ากลุ่มทดลองที่ 2 (82 วัน) และกลุ่มควบคุม (78 วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.01) แม่โคกลุ่มทดลองที่ 1 จะมีวันท้องว่างเฉลี่ยที่ 101 วัน ต่ำกว่ากลุ่มทดลองที่ 2 (130 วัน) และกลุ่มควบคุม (132 วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) แม่โคกลุ่มทดลองที่ 2 และกลุ่มควบคุมมีอัตราการตรวจพบการเป็นสัดสูงกว่ากลุ่มทดลองที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) อัตราผสมติดทั้ง 3 กลุ่มที่ 22 และ 60 วันของการผสมครั้งแรกไม่แตกต่างกัน จำนวนแม่โคที่มีระดับโปรเจสเตอโรนที่ต่ำในวันผสมทั้ง 3 กลุ่มไม่แตกต่างกัน แต่ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในวันผสมเทียมแบบกำหนดเวลาในกลุ่มทดลองที่ 2 มีความถูกต้องมากกว่ากลุ่มที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญ (p <0.05) สรุปว่าการให้ฮอร์โมนพีจีเอฟทูอัลฟาและพีจีเอฟทูอัลฟาร่วมกับจีเอ็นอาร์เอชสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสืบพันธุ์ได้ โดยเพิ่มอัตราการได้รับการผสมภายใน 90 วันหลังคลอดและอัตราการผสมติด