Abstract:
ปัจจุบัน สถาปนิกได้ขยายบทบาท และขอบเขตการให้บริการวิชาชีพออกไปนอกเหนือจากงานออกแบบ ซึ่งสถาปนิกที่ปฏิบัติวิชาชีพสถาปัตยกรรมต่างๆ เหล่านั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ ในหลายบทบาท โดยยังขาดความรู้ และความเข้าใจในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนตามกฎหมายที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เป็นปลกระทบตามมา นอกจากนี้ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน ผู้ดำเนินการ ผู้ครอบครองอาคารและเจ้าของอาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2542 ในมาตรา 8(13) ที่เกี่ยวข้องกับสถาปนิกก็ยังกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบเพียงกว้างๆ ไม่ลงรายละเอียดในการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งจะสร้างความสับสนให้แก่สถาปนิกในการปฏิบัติวิชาชีพได้ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาหน้าที่ และความรับผิดชอบของสถาปนิกบทบาทต่างๆ ในงานก่อสร้างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลักปฏิบัติวิชาชีพ และการปฏิบัติวิชาชีพจริง เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดหน้าที่ และความรับผิดชอบของสถาปนิกในงานก่อสร้างที่ชัดเจนภายใต้ร่างกฎหมายกระทรวงกำหนดหน้าที่ และความรับผิดชอบดังกล่าว การวิจัยนี้ดำเนินการวิจัยโดยศึกษาทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การศึกษาเกี่ยวกับงานก่อสร้าง กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายวิชาชีพ และหลักปฏิบัติวิชาชีพของสถาปนิก เพื่อสรุปหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาปนิกในงานก่อสร้าง และนำไปใช้สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างสถาปนิกซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทสถาปนิก บริษัทผู้บริหารงานก่อสร้าง และบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และยังคงปฏิบัติวิชาชีพอยู่ในเวลาที่ทำการวิจัย โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สถาปนิกของบริษัทสถาปนิก สถาปนิกของบริษัทผู้บริหารงานก่อสร้าง และสถาปนิกของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง แล้วนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ และสรุปหน้าที่ และความรับผิดชอบของสถาปนิกในงานก่อสร้างภายใต้ร่างกฎหมายกระทรวงกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบดังกล่าว จากการศึกษา พบว่า หน้าที่และความรับผิดชอบของสถาปนิกในงานก่อสร้างมีทั้งกำหนดไว้ชัดเจน กำหนดไว้แต่ยังไม่ชัดเจน และยังไม่มีการกำหนดไว้ ซึ่งสถาปนิกผู้ออกแบบค่อนข้างมีความเข้าใจในหน้าที่ และความรับผิดชอบของตนเองชัดเจน โดยมีความเข้าใจเบี่ยงเบนไปจากหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผู้วิจัยกำหนดไว้เพียงร้อยละ 18.75 ซึ่งเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบในช่วงระหว่างการก่อสร้าง สถาปนิกผู้ควบคุมงานแม้จะไม่มีความเข้าใจเบี่ยงเบนไปจากหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผู้วิจัยกำหนด แต่พบว่ายังมีความสับสนในขนาดของงานก่อสร้างที่ควรปฏิบัติ ส่วนสถาปนิกผู้ดำเนินการยังขาดความเข้าใจในหน้าที่ และความรับผิดชอบของตนเอง โดยมีความเบี่ยงเบนไปถึงร้อยละ 40 ดังนั้น องค์กรวิชาชีพสถาปัตยกรรมจึงควรจัดทำคู่มือ หรือมาตรฐานการปฏิบัติวิชาชีพของสถาปนิกบทบาทต่างๆขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติวิชาชีพของสถาปนิกที่ตรงกัน