Abstract:
การนำเครื่องจักรเป็นหลักประกันการชำระหนี้ของประเทศไทยภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันทำได้ในรูปแบบการจำนำและการจำนอง ซึ่งแต่ละรูปแบบไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าหนี้และลูกหนี้เท่าที่ควร เป็นต้นว่า การจำนำจะต้องมีการส่งมอบทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถใช้เครื่องจักรในการประกอบธุรกิจ ส่วนการจำนองผู้นำเครื่องจักรมาเป็นหลักประกันต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในขณะที่นำเครื่องจักรมาเป็นหลักประกันเท่านั้น วิธีการที่ก่อให้เกิดหลักประกันมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานาน โดยเฉพาะการบังคับจำนองมีหลักเกณฑ์ที่เคร่งครัด และต้องผ่านกระบวนการทางศาล ซึ่งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและใช้เวลานาน แม้เจ้าหนี้และลูกหนี้จะทำข้อตกลงเพื่อให้มีผลเป็นการนำเครื่องจักรมาเป็นหลักประกันอันเป็นการแก้ปัญหาและข้อจำกัดดังกล่าว แต่เมื่อมีการนำข้อตกลงเช่นนี้ขึ้นสู่ศาล ศาลก็ไม่อาจวินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวนี้เป็นสัญญาหลักประกัน ทั้งนี้เพราะข้อตกลงที่ได้ทำขึ้นไม่อาจปรับเข้ากับหลักกฎหมายลักษณะจำนำหรือจำนอง ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้รับความคุ้มครอง จากการศึกษา ผู้เขียนเห็นว่าควรมีรูปแบบกฎหมายว่าด้วยการประกันด้วยทรัพย์ในรูปแบบใหม่ เพื่อใช้กับกรณีหนี้ทางการค้า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้นำเครื่องจักรทุกประเภทที่ใช้ในการประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันได้โดยไม่ต้องส่งมอบ ขณะเดียวกันเจ้าหนี้ก็ได้รับความคุ้มครองโดยได้รับชำระหนี้จากเครื่องจักรหลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น การก่อให้เกิดสัญญาหลักประกันไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก และการบังคับหลักประกันทำได้โดยไม่ต้องผ่านศาล ซึ่งขณะนี้มีการยกร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... จึงเห็นสมควรให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกันนำร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ....มาพิจารณาและประกาศใช้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มทุนในการขยายกิจการและส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ