Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มุ่งศึกษาถึงโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและการออกคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ว่ามีหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีเป็นอย่างไร รวมทั้งยังศึกษาถึงผลของคำวินิจฉัยชี้ขาดและการออกคำสั่งว่าเป็นคำสั่งในทางปกครองหรือไม่ ตลอดจนได้ศึกษาถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัย คำชี้ขาดและคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมโดยศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ว่ามีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาพิพากษาที่มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด เพื่อศึกษาหาแนวทางแก้ไข และปรับปรุงต่อไป จากการศึกษาพบว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นองค์กรไตรภาคีประกอบไปด้วย ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม โดยคำวินิจฉัยชี้ขาดและคำสั่งในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิและหน้าที่ทั้งฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาและฝ่ายกล่าวหาอันเป็นการใช้อำนาจในทางปกครองประเภทการกระทำทางปกครองเป็นคดีปกครองประเภทหนึ่ง ซึ่งในการพิจารณาทบทวนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมโดยศาลแรงงานจะต้องพิจารณาตรวจสอบเฉพาะความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงศาลแรงงานกลับพิจารณาพิพากษาในเนื้อหาของคดีโดยมิได้พิจารณาตรวจสอบแต่เฉพาะความชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากหลักเกณฑ์การพิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มิได้มีการแบ่งแยกคดีแพ่งในทางแรงงานกับคดีปกครองในทางแรงงานไว้อย่างชัดเจน องค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลแรงงานเป็นลักษณะไตรภาคีประกอบไปด้วยผู้พิพากษาและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง หลักการฟ้องคดีในคดีที่เป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่ไม่ได้บัญญัติไว้ให้ “เป็นที่สุด” และการนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานโดยอนุโลม จึงทำให้เกิดปัญหาในคดีที่เป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัยชี้ขาดและคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมโดยศาลแรงงาน กล่าวคือการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมเป็นเพียงเงื่อนไขที่จะนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแรงงานเท่านั้น รวมทั้งแทบทุกคดีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดและออกคำสั่งในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมไปแล้วมักถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลแรงงาน นอกจากนี้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ยังมิได้กำหนดระยะเวลาในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยชี้ขาดและคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมต่อศาลแรงงาน รวมทั้งมิได้กำหนดขอบเขตของการพิพากษาคดีดังกล่าวไว้ ซึ่งไม่เป็นการสอดคล้องต่อหลักในทางปกครองอันเป็นอุปสรรคแก่การระงับข้อพิพาทแรงงานในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว ในการพิจารณาทบทวนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมต่อศาลแรงงาน จึงควรแก้ไขและเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 โดยกำหนดให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรม “เป็นที่สุด” และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ในเรื่ององค์คณะของผู้พิพากษาในศาลแรงงาน กำหนดให้ระยะเวลาในการฟ้องคดีมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน รวมทั้งกำหนดวิธีพิจารณาพิพากษาคดีในคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมให้ชัดเจน