Abstract:
การกระทำความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้นั้นได้ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม โดยการกระทำความผิดจะมีมูลเหตุจูงใจมาจากเงินได้จากการกระทำความผิดที่มีจำนวนมหาศาลซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้จะตกอยู่กับตัวนายทุนหรือผู้อิทธิพลและเมื่อได้เงินหรือทรัพย์สินมาแล้วก็จะมีการนำไปเปลี่ยนสภาพไปเป็นทรัพย์สินอย่างอื่น หรือจำหน่ายจ่ายโอนไปยังบุคคลอื่น ส่งผลให้กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันไม่สามารถไปดำเนินการกับทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ในการกระทำความผิดจะปรากฏการจับกุมได้เฉพาะตัวชาวบ้านหรือลูกจ้างเท่านั้น แต่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริงซึ่งเป็นนายทุนหรือผู้มีอิทธิพลนั้นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ จึงจำเป็นจะต้องนำมาตรการของกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาบังคับใช้ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดประเภทนี้โดยอาศัยมาตรการในการยึดทรัพย์ทางแพ่ง มาดำเนินการกับเงินได้จากการกระทำความผิดประเภทนี้ อันจะเป็นการตัดมูลเหตุจูงใจของผู้กระทำความผิดที่เป็นนายทุนหรือผู้มีอิทธิพล ทั้งนี้การที่จะนำมาตรการของกฏหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้บังคับได้นั้นจะต้องกำหนดความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้เป็นความผิดมูลฐานเสียก่อน จึงจำเป็นต้องศึกษาถึงปัญหาหรือข้อจำกัดของการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ รวมทั้งศึกษาถึงหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดความผิดมูลฐานว่าความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้มีองค์ประกอบครบถ้วนที่จะกำหนดเป็นความผิดมูลฐานหรือไม่