Abstract:
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการปรับสภาพผิวหน้าฐานฟันเทียมก่อนการเสริมฐานด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตในอัตราส่วนต่างกันที่มีต่อค่าความแข็งแรงพันธะเฉือน เตรียมชิ้นงานวัสดุฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิกชนิดบ่มด้วยความร้อนในท่อน้ำพีวีซีจำนวน 120 ชิ้นแบ่งเป็น 12 กลุ่ม แบ่งตามวัสดุเสริมฐานสามผลิตภัณฑ์คือยูนิฟาสเทรด® ยูเอฟไอเจลฮาร์ด® และโทคูยาม่า®รีเบสทูฟาส โดยก่อนการเสริมฐานทำการทาสารปรับสภาพผิวหน้าฐานฟันเทียมด้วยสารยึดติดที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำ สารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตในอัตราส่วน 35:65, 25:75, 15:85 เป็นเวลา 15 วินาที ตามลำดับ ทดสอบความแข็งแรงพันธะเฉือนด้วยเครื่องทดสอบสากล นำชิ้นงานทั้งหมดที่แตกหักมาวิเคราะห์ตำแหน่งที่เกิดการแตกหักด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดสเตอริโอ พบว่ากลุ่มยูนิฟาสเทรด®ที่ปรับสภาพผิวด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตที่อัตราส่วน 25:75 มีค่าเฉลี่ยความแข็งแรงพันธะเฉือนมากกว่ากลุ่มที่ทาด้วยสารยึดติดที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 กลุ่มยูเอฟไอเจลฮาร์ด® พบว่ากลุ่มที่ปรับสภาพผิวด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตทุกอัตราส่วน มีค่าเฉลี่ยความแข็งแรงพันธะเฉือนมากกว่ากลุ่มที่ทาด้วยสารยึดติดที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับกลุ่มโทคูยาม่า® รีเบสทูฟาสนั้น การปรับผิวหน้าด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตต ไม่ได้ทำให้ค่าเฉลี่ยความแข็งแรงพันธะเฉือนที่วัดได้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปได้ว่า การปรับสภาพผิวของวัสดุฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิกด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตที่อัตราส่วน 25:75 ช่วยเพิ่มค่าความแข็งแรงพันธะเฉือนให้สูงขึ้นในวัสดุเสริมฐานยูนิฟาสเทรด® และการปรับสภาพผิวของวัสดุฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิกด้วยสารละลายเมทิลฟอร์เมตและเมทิลอะซิเตตทุกอัตราส่วนช่วยเพิ่มค่าความแข็งแรงพันธะเฉือนให้สูงขึ้นในยูเอฟไอเจลฮาร์ด® เมื่อเทียบกับการปรับสภาพผิวด้วยสารยึดติดที่บริษัทผู้ผลิตแนะนำ