Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงปัญหาของหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 278 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ. 2551 โดยการนำคำสั่งตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน (ชั้นพิจารณาอุทธรณ์) มาเป็นหลักในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จากการศึกษาหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ฯ เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในต่างประเทศแล้วพบว่า เป็นหลักเกณฑ์ที่มีปัญหาต่อการบังคับใช้อยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์ที่ไม่ชัดเจนเป็นการผสมกันระหว่างเรื่องการอุทธรณ์กับการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ การให้นิยามความหมายของคำว่า “พยานหลักฐานใหม่” อันเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการอุทธรณ์ในลักษณะจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ และการกำหนดหลักเกณฑ์ให้อุทธรณ์ได้เฉพาะในปัญหาข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การอุทธรณ์ตามหลักวิชาการ ปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ฯ ให้กระทำได้ยาก ไม่เหมาะสมกับการเป็นหลักเกณฑ์ในการอุทธรณ์ และไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การอุทธรณ์สากล ทั้งยังเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย จากปัญหาดังกล่าว วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงขอเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยการกำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์ให้ชัดเจนให้คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา นอกจากนี้ยังควรกำหนดให้มีหลักเกณฑ์การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ในคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้น เพื่อเป็นการแก้ไขความผิดพลาดในปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณาคดี และเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิแก่ผู้ต้องคำพิพากษาอย่างแท้จริง