Abstract:
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการใช้พลังงานของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพชนิดต่างๆในหญิงที่มีน้ำหนักเกินและหญิงที่มีน้ำหนักปกติ อาสาสมัครเป็นนิสิตหญิงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 26 คน (อายุ 18 – 25 ปี) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มน้ำหนักเกิน (BMI = 25.00 – 29.99 กก./ตร.ม.) จำนวน 11 คน และกลุ่มน้ำหนักปกติ (BMI = 18.50 – 24.99 กก./ตร.ม.) จำนวน 15 คน อาสาสมัครทุกคนได้รับการสุ่มแบบครอสโอเวอร์ดีไซน์ให้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทั้ง 4 ชนิด อันได้แก่ การเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน และการเต้นแอโรบิกที่ความหนักระดับปานกลาง (64 – 76 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด) เป็นเวลา 30 นาที ก่อนดำเนินการทดลอง ผู้เข้าร่วมวิจัยทุกคนได้รับการวัดค่าพื้นฐานทางสรีรวิทยาและสุขสมรรถนะ ในวันทำการทดลองทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายแต่ละชนิด อาสาสมัครได้รับการวัดองค์ประกอบร่างกาย ได้แก่ น้ำหนักตัว เปอร์เซ็นต์ไขมัน และเปอร์เซ็นต์มวลที่ปราศจากไขมัน ขณะออกกำลังกาย ทำการบันทึกค่าตัวแปรทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายและค่าการใช้พลังงาน ได้แก่ อัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต สมรรถภาพการใช้ออกซิเจน สมรรถภาพการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ สมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด การระบายอากาศ อัตราส่วนการหายใจ และการใช้พลังงาน (ช่วงเริ่มต้น ช่วงของการออกกำลังกายคงที่ ช่วงหลังหยุดออกกำลังกาย และช่วงการใช้พลังงานโดยรวมของการออกกำลังกาย) แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติ หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรระหว่างกลุ่มตัวอย่างด้วยการทดสอบค่าที และเปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรระหว่างชนิดของการออกกำลังกายด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราส่วนการหายใจ และความดันโลหิตที่ทำการบันทึกค่าทุกๆนาทีตั้งแต่นาทีที่ 1-35 ขณะออกกำลังกายเพื่อสุขภาพชนิดต่างๆของกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มที่มีน้ำหนักปกติ แต่พบว่า กลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินมีสมรรถภาพการใช้ออกซิเจน สมรรถภาพการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ และการระบายอากาศต่ำกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักปกติ 2. การใช้พลังงานในการออกกำลังกายช่วงเริ่มต้น (นาทีที่ 1-5) ช่วงคงที่ (นาทีที่ 11-20) ช่วงหลังหยุดออกกำลังกาย (นาทีที่ 30-35) และ การใช้พลังงานโดยรวม (นาทีที่ 1-30) ของการเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน และการเต้นแอโรบิก ในกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินมีค่าสูงกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักปกติ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างชนิดของการออกกำลังกาย พบว่า การใช้พลังงานโดยรวมในการออกกำลังกายของการเดินและการวิ่งมีค่าสูงกว่าการปั่นจักรยานทั้งในกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินและในกลุ่มที่มีน้ำหนักปกติ 3. การออกกำลังกายด้วยการเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน และการเต้นแอโรบิก มีผลทำให้น้ำหนักตัวหลังออกกำลังกายมีค่าต่ำกว่าก่อนออกกำลังกาย แต่ไม่พบความแตกต่างของเปอร์เซ็นต์ไขมันและเปอร์เซ็นต์มวลที่ปราศจากไขมันเมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการออกกำลังกาย ทั้งในกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกินและในกลุ่มที่มีน้ำหนักปกติ