Abstract:
การศึกษาเรื่องการรำในพิธีทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ในอุบลราชธานีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาองค์ประกอบการแสดง และวิเคราะห์กระบวนท่ารำที่ใช้ในการประกอบพิธีทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ในจังหวัดอุบลราชธานีโดยศึกษาจากเอกสารประวัติศาสตร์ การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ การสังเกตการแสดงสด วีดีทัศน์และภาพถ่าย ผลการศึกษาพบว่า แนวคิดศาสนาพุทธได้แพร่หลายจากประเทศอินเดียเข้ามาสู่สุวรรณภูมิรวมทั้งประเทศไทยความเชื่อในทางศาสนาได้แทรกอยู่ในงานจิตรกรรม ประติมากรรม ตลอดจนวรรณกรรมเรื่องไตรภูมิพระร่วงจัดเป็นวรรณกรรมศาสนาเรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนกหัสดีลิงค์ในป่าหิมพานต์ มีการพบหลักฐานของนกหัสดีลิงค์หลายลักษณะตามศาสนสถานต่าง ๆ ด้วยเหตุที่สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อว่าสัตว์บางชนิดรวมทั้งนกหัสดีลิงค์เป็นพาหนะในการนำดวงวิญญาณของชนชั้นสูงสู่สวรรค์ ดังนั้นจึงนิยมใช้พาหนะรูปสัตว์อยู่ในขบวนแห่ศพของชนชั้นสูงมาจนถึงปัจจุบัน พิธีทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ในจังหวัดอุบลราชธานีเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2316 โดยเจ้านายหรือคนที่สืบเชื้อสายอัญญาสี่ที่มาจากเมืองเชียงรุ้งได้นำพิธีศพดังกล่าวมาแพร่หลาย ใช้ประกอบพิธีเฉพาะเจ้านายและพระเถระ ในการทำพิธีมีขบวนแห่หลายขบวน เมรุลอยรูปนกหัสดีลิงค์เป็นขบวนหนึ่งที่เน้นความโดดเด่นของนกหัสดีลิงค์โดยมีลักษณะสำคัญคือ หัวเป็นช้าง ลำตัวเป็นนก หางเป็นหงส์ ขั้นตอนในพิธีแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนคือ 1.เตรียมขบวนแล้วเคลื่อนขบวน 2.ตั้งขบวนในสถานที่ประกอบพิธี 3.ก่อนประกอบพิธีเผาศพ 4.ประกอบพิธีเผาศพ 5.หลังพิธีเผาศพ องค์ประกอบด้านเครื่องแต่งกายของ 2 กลุ่มแต่งแบบชนชั้นสูงของลาว แต่แตกต่างกันในรายละเอียดโดยกลุ่มที่ 1 แต่งกายประณีตกว่ากลุ่ม 2 ถือศรเหมือนกันแต่วัสดุและขนาดแตกต่างกัน เครื่องดนตรีใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเพลงมีจำนวน 3 เพลงเหมือนกันทั้งสองกลุ่ม แต่ทำนองเพลงต่างกัน กลุ่มแรกใช้ทำนองระดับปานกลางและเร็ว กลุ่ม 2 ใช้ทำนองเพลงทั้งระดับช้าปานกลางและเร็ว ทั้งนี้กลุ่มแรกเลือกใช้เพลงในช่วงสุดท้ายเพลงใดเพลงหนึ่งอย่างอิสระกว่ากลุ่ม 2 การแสดงนาฏยศิลป์ในพิธีกรรมปรากฏอยู่ในขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 3 เนื้อหาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับนางเทียมเจ้านางสีดาเข้าทรงแล้วเดินทางไปฆ่านกหัสดีลิงค์ในเหตุการณ์ตอนนี้มีผู้แสดง 2 คน คือผู้แสดงหญิงสวมบทบาทนางเทียมเจ้านางสีดา และผู้ชาย 1 คนอยู่ในตัวนกเพื่อคอยควบคุมการเคลื่อนไหวส่วนศีรษะนก ในปัจจุบันผู้แสดงเป็นนางเทียมเจ้านางสีดาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มแรกกลุ่มดั้งเดิมเป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายจากเจ้านาย และกลุ่มที่สองกลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่เป็นกลุ่มที่สมัครใจแสดงโดยมิได้สืบเชื้อสายจากเจ้านาย แบบแผนของการแสดงทั้งสองกลุ่มเป็นการรำประกอบทำนองเพลงแบ่งออกเป็น 3 ช่วงได้แก่ 1.การรำเพื่อเดินทาง 2.การต่อสู้กับนกด้วยศร 3.การแสดงความดีใจที่ฆ่านกได้สำเร็จ ลักษณะเด่นในแต่ละช่วงคือ ช่วงแรกการใช้ท่ารำท่าเดียวในกลุ่ม 1 และท่ารำหลายท่าในกลุ่ม 2 ช่วงที่สอง กลุ่ม 1 รำท่าเดียวและรำอาวุธ กลุ่ม 2 ท่ารำมีหลายท่าและรำอาวุธ ช่วงสุดท้ายแสดงท่าทางดีใจด้วยการร้องไชโย 3 ครั้ง ลีลาการเคลื่อนไหวที่สำคัญคือ กลุ่ม 1 เน้นพลังที่แขน กลุ่ม 2 เน้นพลังส่วนล่างด้วยการส่ายสะโพกโดยส่วนบนแสดงท่านิ่ง อารมณ์ในการแสดงคือกลุ่ม 1 แสดงอารมณ์ดุดันและมุ่งมั่น กลุ่ม 2 แสดงอารมณ์เคร่งขรึมสีหน้าและแววตาเน้นการใช้สมาธิต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การใช้พื้นที่ในการแสดงของทั้งสองกลุ่ม ประกอบด้วย การใช้ทิศทางเคลื่อนไปข้างหน้า และการใช้พื้นที่กระจายไปทั่วทุกจุดของสถานที่ประกอบพิธี ในปัจจุบันคนหันไปนิยมจ้างกลุ่ม 2 ทำพิธี เนื่องจากค่าจ้างถูกกว่ากลุ่ม 1 ด้วยเหตุนี้อาจทำให้องค์ความรู้ดั้งเดิมของกลุ่ม 1 เริ่มไม่แพร่หลายและอาจเสื่อมสูญไปในที่สุด ผู้วิจัยจึงเห็นว่างานวิจัยชิ้นนี้ จะช่วยอนุรักษ์พิธีกรรมดังกล่าวให้เป็นวิทยาทานในการศึกษาศิลปะพื้นบ้านสืบไป