Abstract:
การศึกษาครั้งนี้เลือกระบบการก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนสำเร็จรูป ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เฉพาะอาคารประเภทบ้านเดี่ยวเป็นกรณีศึกษา ในปัจจุบัน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ใช้ระบบการก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนสำเร็จรูปแบบผนังรับน้ำหนัก โดยรูปร่างผนังมีอยู่ 2 แบบ คือ ผนังที่ไม่มีช่องเปิด และผนังที่มีช่องเปิด (ประตูหรือหน้าต่าง)
ในการศึกษาพบว่าผนังที่มีช่องเปิดประเภทหน้าต่างนั้น มีระยะหน้าต่างที่มีความกว้างหรือความยาวตั้งแต่ 0.20 ม. ถึง 3.25 ม. โดยมีระยะใกล้เคียงกัน เช่น 0.47 0.49 0.50 0.55 0.565 0.59 และ 0.60 ม. หรือ 1.00 1.03 1.025 1.034 1.045 1.05 และ 1.10 ม. ฯลฯ เช่นเดียวกับรูปร่างหน้าต่างที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ได้แก่ 0.47x1.395 และ 0.50x1.40 หรือ 1.10x1.80 และ 1.10x1.825 ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องมีแบบหล่อจำนวนมาก และมักจะเกิดปัญหาในการเลือกแบบหล่อ ทั้งนอกจากจะต้องเสียค่าผลิตแบบหล่อแล้ว ยังต้องการพื้นที่เก็บแบบหล่อมากขึ้นด้วย
ในขณะเดียวกันแบบหล่อช่องหน้าต่างแต่ละขนาด ก็มีจำนวนต่างกัน เช่น ขนาด 0.39x1.22 มี 1 ชิ้น ขนาด 0.50x0.50 มี 20 ชิ้น และขนาด 0.80x1.10 มี 158 ชิ้น เป็นต้น ทำให้เข้าใจได้ว่าแบบหล่อแต่ละขนาดมีความถี่ในการใช้งานต่างกัน
จึงมีข้อเสนอแนะให้รวมขนาดของหน้าต่างที่มีระยะความกว้างหรือความยาวใกล้เคียงกัน อย่างเช่น 0.47 0.49 0.50 0.55 เหลือเพียง 0.50 ม. และรวมรูปร่างที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เช่น 0.47x1.395 และ 0.50x1.40 รวมเป็น 0.47x1.395 หรือ 0.50x1.40 แบบใดแบบหนึ่ง เป็นต้น โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาจากจำนวนแบบหล่อที่มีความถี่ในการใช้งานสูง
นอกจากนี้ยังพบว่า เครื่องจักรสามารถผลิตเหล็กตะแกรงเสริมในผนังได้แคบที่สุด 0.50 เมตร หากขนาดของผนังมีส่วนที่แคบน้อยกว่า จะต้องตัดเหล็กตะแกรงส่วนที่เกินออกทิ้ง ส่งผลให้ต้องใช้แรงงานและเสียวัสดุในการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อรวมระยะห่างระหว่างขอบผนังและเหล็กตะแกรงด้านละ 0.025 ม. จึงมีข้อเสนอแนะให้การออกแบบช่องเปิดควรห่างจากผนังอย่างน้อยต้อง 0.55 ม.
การดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าว จะช่วยให้ลดปัญหาในการทำงาน ลดต้นทุนในขั้นตอนการผลิต และทำให้ระบบการก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพมากขึ้น