Abstract:
ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้อยู่ที่ร้อยละ 30 แต่อย่างไรก็ตามภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดขึ้นนั้นจะน้อยกว่าร้อยละ 30 และไม่เท่ากันในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท เนื่องจากภาครัฐได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่แตกต่างกันเพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมส่งออก เพราะฉะนั้นวิทยานิพนธ์เรื่องนี้จึงทำการศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกับอัตราภาระภาษีเฉลี่ยในแต่ละอุตสาหกรรม โดยจะแบ่งการศึกษาออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536-2554 ในส่วนที่สองจะเป็นการประมาณค่าผลกระทบของการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต่ออัตราภาระภาษีเฉลี่ยในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้ข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2554 ในรูปแบบข้อมูล panel data นอกจากนี้ยังใช้การประมาณค่าด้วยวิธี Three Time Periods First Differenced Panel Data และวิธี Fixed effects estimation จากการศึกษาพบว่าคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะสนับสนุนอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมสินค้าขั้นกลางมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมส่งออกจะมีอัตราภาระภาษีเฉลี่ยต่ำที่สุด โดยอยู่ที่ร้อยละ 13.3 และอุตสาหกรรมบริการจะมีอัตราภาระภาษีเฉลี่ยสูงที่สุด โดยอยู่ที่ร้อยละ 17.5 ส่วนอุตสาหกรรมสินค้าขั้นกลางและอุตสาหกรรมภายในประเทศจะมีอัตราภาระภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 13.7 และ 14.5 ตามลำดับ อีกทั้งยังพบว่าอัตราภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉลี่ยมีการเพิ่มขึ้นในช่วง พ.ศ. 2545-2554 เนื่องจากบริษัทต่างๆมีการใช้ผลขาดทุนลดหย่อนภาษีลดลงจากปีฐาน (พ.ศ. 2545) ถ้าหากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการเพิ่มขึ้นของความแตกต่างในรายได้ของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมต่อรายรับรวมร้อยละ 10 ความแตกต่างของอัตราภาระภาษีเฉลี่ยจะมีการเปลี่ยนแปลงลดลงร้อยละ .82 ในปี พ.ศ. 2550 และร้อยละ 1.04 ในปี พ.ศ. 2554 นอกจากนี้บริษัทในอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมสินค้าขั้นกลางจะมีความแตกต่างของอัตราภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉลี่ยที่ต่ำกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมในประเทศ