Abstract:
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกของการติดเชื้อ parvovirus B19 ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รูปแบบการวิจัย การวิจัยเชิงพรรณนา สถานที่ศึกษา หอผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง แผนกกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประชากร ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อายุ 1-15 ปี ที่เข้ารับการศึกษาแบบผู้ป่วยในของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระหว่าง 1 มีนาคม พ.ศ. 2542 ถึง 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 วิธีการศึกษา ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จำนวน 106 คน ได้รับการตรวจเลือด เพื่อหา anti-B19 parvovirus lgG โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) ผลการศึกษา ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อายุ 1-15 ปี จำนวน 106 คน ได้รับการตรวจเลือดเพื่อหา anti-B19 parvovirus lgG พบว่ามีผลบวกทั้งสิ้น 17 คน คิดเป็น 16.04% โดยที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อส่วนใหญ่ในกลุ่มผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายอวัยวะคิดเป็น 33.33% และมีค่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p=0.05, Duncan test) จากกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ (7.14%), กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด (12.24%) และกลุ่มผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอดส์ (16%) อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของอัตราการติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบโดยอายุและเพศ บทสรุป ผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องพบการติดเชื้อ parvovirus B19 ได้สูงในกลุ่มผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายอวัยวะมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด และกลุ่มผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอดส์ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้สูงในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ การได้รับยากดภูมิต้านทาน เช่น cyclosporine, cyclophosphamide, busulfan ขนาดสูง ตลอดจนการได้รับเลือดและผลิตภัณฑ์จากเลือดเป็นจำนวนมากขณะและหลังผ่าตัด