Abstract:
เมื่อปี ค.ศ. 2002 อิสราเอลได้ริเริ่มการก่อสร้างกำแพงขึ้นในดินแดนที่ถูกยึดครองของปาเลสไตน์ โดยกำแพงนั้นจะมีลักษณะเป็นสิ่งกีดขวางถาวร ก่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนที่ถูก ยึดครองของปาเลสไตน์ออกจากกัน ดินแดนบางส่วนนั้นถูกโอบล้อมด้วยกำแพงอย่างสมบูรณ์ ทำให้กลายเป็นเขตปิดล้อมที่ตัดขาดจากโลกภายนอก นอกจากนั้นอิสราเอลยังได้มีการออกมาตรการต่างๆ อันได้แก่การยึดที่อยู่อาศัย การริบที่ดินทำกิน และการทำลายพืชผลทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นที่ในการสร้างกำแพง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความเสียหายเป็นอย่างมากต่อสังคม ชาวปาเลสไตน์ และทำให้ประชาชนชาวปาเลสไตน์นั้นไม่อาจดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ในปี ค.ศ. 2004 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงได้ทำความเห็นเชิงปรึกษากรณีการสร้างกำแพงในดินแดนที่ถูกยึดครองของปาเลสไตน์นี้ขึ้น โดยศาลได้มีความเห็นว่าการสร้างกำแพงของอิสราเอลนั้นเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการสร้างกำแพงนี้โดยเร็ว ซึ่งถึงแม้ว่าความเห็นเชิงปรึกษานั้นจะไม่มีผลผูกพัน หากแต่เหตุผลทางกฎหมายที่ใช้ประกอบความเห็นเชิงปรึกษานั้นย่อมมีผลบังคับในตัวเอง ซึ่งเมื่อนำมาใช้ประกอบกับมาตรการเพิ่มเติม อันได้แก่ คำพิพากษาของศาลสูงอิสราเอล มติของคณะมนตรีความมั่นคงและสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ตลอดจนบทบาทขององค์กรที่ให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแล้ว ก็จะส่งผลให้มีการบังคับใช้ตามความเห็นเชิงปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น