Abstract:
พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 ถือเป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยช่วยให้ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นได้รับการเยียวยา พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการนำหลักความรับผิดโดยเคร่งครัดมาใช้ให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย โดยที่ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าไม่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการ จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาถึงเหตุหลุดพ้นความรับผิดของผู้ประกอบการตามมาตรา 7 (2) ของพระราชบัญญัตินี้เปรียบเทียบกับข้อต่อสู้เรื่องหลักสมัครใจ ที่จะรับความเสี่ยงที่เป็นข้อต่อสู้ของจำเลย ที่ใช้กับคดีความรับผิดในผลิตภัณฑ์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนพบว่าบทบัญญัติของเหตุหลุดพ้นความรับผิดของผู้ประกอบการตามมาตรา 7 (2) นั้นบัญญัติไว้อย่างกว้างๆ จึงเหมาะสมและเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคได้ในกรณีทั่วๆ ไป แต่ในกรณีองค์ประกอบในเรื่องที่ผู้เสียหายนั้นสมัครใจ ที่จะรับความเสี่ยงในอันตรายที่จะเกิดขึ้นจาก สินค้าอันผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอย่างไม่มีเหตุผล หรือโดยปราศจากเหตุอันควร มาตรา 7 (2) นั้นไม่ได้มีการบัญญัติไว้ ดังเช่นที่ศาลในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบในเรื่องนี้ เมื่อจำเลยหรือผู้ประกอบการได้อ้างข้อต่อสู้เรื่องหลักสมัครใจที่จะรับความเสี่ยงในคดีความรับผิดในผลิตภัณฑ์ จนทำให้ในบางครั้งจะไม่เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสมเพียงพอ ดังนั้นผู้เขียนจึงเสนอให้มีการเพิ่มเงื่อนไขในเหตุหลุดพ้นความรับผิดในมาตรา 7 (2) ให้มีการพิจารณาเรื่องผู้เสียหายต้องรู้อย่างชัดเจนว่า สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยแล้วยังสมัครใจเสี่ยงภัยไปรับภัยพิบัตินั้นอย่างปราศจากเหตุอันสมควร พร้อมทั้งยังได้ศึกษาถึงผลกระทบที่จะมีหากมีการเพิ่มเติมเงื่อนไขนี้ ทั้งผลกระทบต่อการพิจารณาคดีของศาล ผลกระทบต่อฝ่ายผู้บริโภค รวมทั้งผลกระทบต่อฝ่ายผู้ประกอบการด้วย