Abstract:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาดูผลจากแรงโน้มถ่วงของโลกที่มีต่อการทดสอบความแข็งแรงกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกาง และหุบสะโพกด้วยวิธีการหดตัวของกล้ามเนื้อแบบไอโซไคเนติกโดยใช้ท่าทดสอบที่ต่างกัน ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นบุคคลสุขภาพดี 264 ราย เพศชาย 132 ราย และเพศหญิง 132 ราย มีอายุระหว่าง 18 - 30 ปี ซึ่งใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ทดสอบความแข็งแรงกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกาง และหุบสะโพกขาถนัด และไม่ถนัดด้วยเครื่องไอโซไคเนติกในท่านอนตะแคง และท่ายืน ที่ความเร็วเชิงมุมคงที่ 60o/s โดยการออกแรงระดับสูงสุดต่อเนื่องกัน 5 ครั้ง เป็นจำนวน 2 ชุดต่อข้าง ระหว่างชุดพัก 2 นาที นำเสนอข้อมูลเป็นความแข็งแรงเฉลี่ย (N.m) ความแข็งแรงสูงสุด (N.m) ความแข็งแรงเฉลี่ยต่อน้ำหนัก (N.m.kg-1) และความแข็งแรงสูงสุดต่อน้ำหนัก (N.m.kg-1) ด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างค่าความแข็งแรงระหว่างขา และท่าการทดสอบโดยใช้ two-way ANOVA กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ค่าความแข็งแรงเฉลี่ย ความแข็งแรงสูงสุด ความแข็งแรงเฉลี่ยต่อน้ำหนัก และความแข็งแรงสูงสุดต่อน้ำหนักกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกาง และหุบสะโพกทั้งเพศชาย และหญิงไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างขา และท่าการทดสอบ ยกเว้นค่าความแข็งแรงเฉลี่ย และความแข็งแรงเฉลี่ยต่อน้ำหนักกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกางสะโพกเพศหญิง มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับค่าความแตกต่างระหว่างท่านอนตะแคง และท่ายืน พบว่าความแข็งแรงทั้งสองกลุ่มกล้ามเนื้อในท่านอนตะแคง มากกว่าท่ายืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นค่าความแข็งแรงกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกางสะโพกเพศหญิงที่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการทดสอบความแข็งแรงกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกาง และหุบสะโพกในท่านอนตะแคง ได้รับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงของโลกมากกว่าท่ายืน โดยเฉพาะความแข็งแรงกล้ามเนื้อหุบสะโพก ดังนั้นก่อนการทดสอบความแข็งแรงกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกาง และหุบสะโพกด้วยเครื่องไอโซไคเนติกควรพิจารณาผลของแรงโน้มถ่วงของโลกต่อท่าการทดสอบ