Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนต่างด้าวโดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่า การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้รับรองสิทธิเสรีภาพประเภทต่างๆไว้ภายใต้ หมวด 3 “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” โดยไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่สิทธิเสรีภาพแยกต่างหากจากกันระหว่างบทบัญญัติที่รับรองสิทธิมนุษยชนกับบทบัญญัติที่รับรองสิทธิพลเมืองนั้น ส่งผลให้คนต่างด้าวสามารถเป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิหรือเป็นผู้ทรงสิทธิในเสรีภาพที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้หรือไม่ เป็นประการใด โดยได้ศึกษาถึงแนวความคิด ทฤษฎี รวมทั้งแนวทางการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวโดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของต่างประเทศ เพื่อเปรียบเทียบกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สำหรับเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการรับรองสิทธิเสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อให้สิทธิเสรีภาพบางประการมีผลคุ้มครองไปถึงคนต่างด้าวด้วย รวมทั้งมีความมุ่งหมายเพื่อหาวิธีการที่จะสร้างความชัดเจนและพิจารณาได้โดยง่ายว่าบทบัญญัติที่รับรองสิทธิเสรีภาพในส่วนใดเป็นสิทธิมนุษยชน และบทบัญญัติในส่วนใดเป็นสิทธิพลเมือง ซึ่งโดยหลักแล้วสิทธิเสรีภาพประเภทต่างๆที่จัดเป็นสิทธิมนุษยชนนั้น บุคคลทุกคนไม่ว่าจะมีสถานะเป็นพลเมืองของรัฐหรือคนต่างด้าวสามารถเป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิมนุษยชนได้ ในขณะที่สิทธิพลเมืองนั้นมีเฉพาะแต่พลเมืองของรัฐเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิพลเมืองได้
จากการศึกษาพบว่าบทบัญญัติที่ได้ให้การรับรองสิทธิเสรีภาพไว้ภายใต้หมวด 3 “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” นั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้มีเจตนารมณ์ในการให้การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่ได้ให้การรับรองไว้ภายใต้หมวดดังกล่าวให้แก่คนต่างด้าว แต่มีเจตนารมณ์ให้คนต่างด้าวได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพโดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 4 อันได้รับรองไว้ในหมวด 1 “บททั่วไป” ที่ได้รับรองสิทธิเสรีภาพไว้อย่างกว้างๆและไม่สามารถกำหนดรายละเอียดได้อย่างแน่ชัดว่า สิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ภายใต้มาตรา 4 ดังกล่าวที่คนต่างด้าวจะได้รับการคุ้มครองนั้นมีขอบเขตอย่างไร เนื่องจากสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองตามมาตรา 4 ดังกล่าว มีความหมายรวมทั้งสิทธิมนุษยชนกับสิทธิพลเมืองรวมอยู่ด้วยกัน ส่งผลให้ท้ายที่สุดแล้วการพิจารณาว่าบุคคลต่างด้าวจะได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพียงไรย่อมต้องไปพิจารณาสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ภายใต้หมวด 3 ประกอบด้วยเสมอ อย่างไรก็ตามยังคงขาดความชัดเจนว่าคนต่างด้าวสามารถเทียบเคียงสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพตามมาตราใดในหมวด 3 มาประยุกต์ใช้กับมาตรา 4 ได้บ้าง เนื่องจากบทบัญญัติในหมวด 3 ไม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ระหว่างสิทธิมนุษยชนไว้หมวดหนึ่ง กับสิทธิพลเมืองไว้อีกหมวดหนึ่งให้เห็นอย่างชัดเจนจนสามารถเป็นที่เข้าใจได้ว่าบทบัญญัติในส่วนที่เป็นสิทธิมนุษยชนนั้นคนต่างด้าวย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญด้วย ส่วนบทบัญญัติที่เป็นสิทธิพลเมืองนั้นคนต่างด้าวไม่อาจได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นการที่รัฐธรรมนูญได้รับรองให้ “บุคคล” เป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิและเป็นผู้ทรงสิทธิในเสรีภาพทุกมาตราที่ได้รับรองไว้ภายใต้หมวด 3 ทำให้เกิดความยุ่งยากในการพิจารณาว่าบทบัญญัติมาตราใดเป็นสิทธิมนุษยชน และบทบัญญัติมาตราใดเป็นสิทธิพลเมือง อันแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญของต่างประเทศที่ได้รับรองให้คนต่างด้าวสามารถเป็นผู้ทรงสิทธิในสิทธิและเป็นผู้ทรงสิทธิในเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองได้ โดยจะรับรองให้ “บุคคล” ซึ่งมีความหมายรวมทั้งพลเมืองของรัฐและคนต่างด้าวเป็นผู้ทรงสิทธิในมาตราที่รับรองสิทธิมนุษยชน และรับรองให้เฉพาะแต่ “พลเมือง” เป็นผู้ทรงสิทธิในมาตราที่รับรองสิทธิพลเมือง
จากปัญหาดังกล่าวผู้เขียนได้เสนอแนวทางการรับรองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวไว้ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญหมวดเดียวกันกับที่รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเสรีภาพให้แก่บุคคลสัญชาติไทย โดยกำหนดชื่อหัวหมวดของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ให้การรับรองสิทธิเสรีภาพไว้อย่างกว้างๆ ว่า “สิทธิและเสรีภาพ” และให้แบ่งบทบัญญัติภายใต้ส่วนดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 “สิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพ” เพื่อรับรองสิทธิเสรีภาพที่มีสาระสำคัญเป็นสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดให้ “บุคคล” เป็นผู้ทรงสิทธิในทุกมาตราที่รับรองไว้ภายใต้ส่วนที่ 1นี้ สำหรับสิทธิเสรีภาพที่มีสาระสำคัญเป็นสิทธิพลเมืองนั้นให้รับรองไว้ภายใต้ส่วนที่ 2 “สิทธิพลเมือง” โดยกำหนดให้ “ชนชาวไทย” เป็นผู้ทรงสิทธิในทุกมาตราที่รับรองไว้ภายใต้ส่วนที่ 2 นี้ เพื่อให้กำหนดขอบเขตได้อย่างชัดแจ้งว่า
คนต่างด้าวได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเฉพาะที่ได้รับรองไว้ภายใต้บทบัญญัติส่วนที่ 1 “สิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพ”เท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเพื่อให้การรับรองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวในระดับของรัฐธรรมนูญสามารถพลวัตไปได้ตาม
การเปลี่ยนแปลงของสังคมและเพื่อขจัดปัญหาในกรณีที่อาจเกิดช่องว่างใดๆในการให้การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวโดยรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหลักที่เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการสร้างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่มีค่าบังคับระดับรัฐธรรมนูญ ในทำนองเดียวกับที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส (La Conseil Constitutionel) ได้สร้างหลักการพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับโดยกฎหมายของสาธารณรัฐ (Les principes fondamenteaux reconnus par les lois de la République) ออกมารับรองสิทธิเสรีภาพให้แก่คนต่างด้าวได้อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงไปของสังคม