Abstract:
ที่มา : โรคหลอดลมโป่งพองเป็นโรคทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีความทุกทรมานจากอาการหายใจลำบาก ไอมีเสมหะส่งผลให้เกิดคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ประสิทธิภาพของยาสูดชนิดผสมของยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาวที่ออกฤทธิ์กระตุ้นเบต้ารีเซฟเตอร์ชนิดที่สองกับสเตียรอยด์ นั้นยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ
วิธีการศึกษา : ผู้ป่วยโรคหลอดลมโป่งพองที่ได้รับการวินิจฉัยจากการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกที่มีอาการ จำนวน 34 คน ได้เข้าสู่การศึกษา โดยผู้ป่วยที่มีประวัติสูบบุหรี่มากกว่า 10 ซองปี หรือมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมจากการตรวจสไปโรเมตรีย์จะถูกคัดออกจากการศึกษา ผู้ป่วยจะไดรับการสุ่มเพื่อรับยาสูด ซัลเมเทอรอล/ฟลูติคาโซน (S/F) ขนาด 50/250 ไมโครกรัม หรือยาสูดหลอก วันละ 2 ครั้ง เก็บข้อมูลทางระบาดวิทยา ตรวจความจุปอด คำถามทางระบบการหายใจเซนต์จอร์จ (SGRQ) และตรวจการเดินใน 6 นาทีที่จุดเริ่มการศึกษา ที่ 12 และ 24 สัปดาห์หลังได้รับยาสูด
ผลการศึกษา : หลังจาก 24 สัปดาห์ ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญของความจุปอดเมื่อเทียบกับก่อนการศึกษาในทั้งสองกลุ่ม โดยมีการเปลี่ยนแปลงแสดงเป็นค่าเฉลี่ย และในวงเล็บเป็นค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของค่า FEV1 ก่อนและหลังสูดยาขยายหลอดลม ค่า FVC ก่อนและหลังสูดยาขยายหลอดลม ในกลุ่ม S/F เท่ากับ +63 (0.237) +5 (0.221) +107 (0.348) และ +24 (0.353) มิลลิลิตร ตามลำดับ เทียบกับในกลุ่มยาสูดหลอด เท่ากับ -45 (0.101), -56 (0.144), -50 (0.202) และ -71 (0.199) มิลลิลิตร ตามลำดับ
ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ประเมินจากคะแนน SGRQ ในระหว่าง 2 กลุ่ม โดยมีค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงของคะแนนรวม SGRQ ในกลุ่ม S/F และกลุ่มยาหลอกเท่ากับ -10.55 และ -4.46 ตามลำดับ (p = 0.462) ไม่มีความแตกต่างของระยะทางที่เดินใน 6 นาทีที่เปลี่ยนไปในทั้งสองกลุ่ม โดยมีค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงในกลุ่ม S/F และกลุ่มยาหลอกเท่ากับ 18.0 และ -5.6 เมตร ตามลำดับ (p=0.178).
สรุป: ยาสูดซัลเมเทอรอล/ฟลูติคาโซนไม่ช่วยเพิ่มความจุปอด คุณภาพชีวิต และความสามารถในการออกกำลังในผู้ป่วยโรคหลอดลมโป่งพอง