Abstract:
ความสำคัญและที่มา : โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าแบบให้ก่อนหรือหลังสัมผัสโรค โดยฉีดเข้าในผิวหนังแบบ modified TRC-ID regimenใช้เวลา 28 วันจึงจะได้วัคซีนครบกำหนด ทำให้การได้รับวัคซีนไม่ครบอาจพบได้บ่อยกว่าในการฉีดวัคซีนแบบเข้ากล้ามเนื้อ เนื่องจากระยะเวลาที่นานกว่าจึงเกิดการลืมได้ ดังนั้น หากลดระยะเวลาการรับวัคซีนให้สั้นลงจากเดิมโดยการฉีดเข้าในผิวหนังครบใน 14 วันน่าจะทำให้อัตราการได้รับวัคซีนครบกำหนดมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการศึกษานี้
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาระดับของภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแบบฉีดเข้าในผิวหนัง 2-2-2-2-0-0 ที่ขึ้นถึงระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 ยูนิตต่อมิลลิลิตร
ระเบียบวิธีวิจัย : อาสาสมัครมารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยฉีดเข้าในผิวหนัง 2 จุด จุดละ 0.1 มิลลิลิตรในวันแรก วันที่ 3 วันที่ 7 และในวันที่ 14 และทำการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อส่งตรวจวัดระดับของภูมิคุ้มกันในวันแรก, วันที่ 14, วันที่ 30 และวันที่ 90
ผลการวิจัย : จากอาสาสมัคร35 คนมี 6คนมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว จึงถูกคัดออก เหลืออาสาสมัครที่เข้าร่วมการศึกษา 29 คน โดยพบว่าอาสาสมัครทุกคนมีระดับภูมิคุ้มกันมากกว่าระดับที่ถือว่าสามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้คือ 0.5 IU/mlในวันที่ 14 โดยมีระดับของค่าเฉลี่ยของระดับภูมิคุ้มกัน (GMTs) เท่ากับ 10.39 ยูนิตต่อมิลลิลิตรโดยมีค่าอยู่ในช่วงตั้งแต่ 4.03 – 30.84 ยูนิตต่อมิลลิลิตร และอาสาสมัครมีระดับภูมิคุ้มกันถึงระดับที่สามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ในวันที่ 90 โดยมีระดับของค่าเฉลี่ยของระดับภูมิคุ้มกัน (GMTs) เท่ากับ1.88 ยูนิตต่อมิลลิลิตร โดยมีค่าอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.57 – 6.77 ยูนิตต่อมิลลิลิตร
สรุป: ในวันที่ 90 หลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าขนาดปกติครบ2 สัปดาห์ ในอาสาสมัคร มีระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกยอมรับในการป้องกันโรค ร้อยละ100 ไม่แตกต่างจากสูตรที่เป็นมาตราฐาน ดังนั้น การฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าแบบฉีดเข้าในผิวหนังเข็มสุดท้าย สามารถฉีดได้ระหว่างวันที่ 14 ถึงวันที่ 28 ในผู้ป่วยที่มีบาดแผลตาม WHO category II