Abstract:
ในสภาวะการณ์ปัจจุบัน ปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบของการฟอกเงินนั้น นับวันจะทวีความรุนแรงและเป็นภัยอันใหญ่หลวง ที่คุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยการยับยั้งการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศไทยจึงได้ตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ขึ้น พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 นี้ได้จัดให้มีองค์กรหลักที่ดำเนินงานในรูปแบบของคณะกรรมการ และมีบทบาทสำคัญในการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายอยู่ 2 องค์กร คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเป็นองค์กรในระดับบริหารที่มีภาระหน้าที่หลัก ในการวางนโยบายและมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย กับคณะกรรมการธุรกรรมซึ่งเป็นองค์กรในระดับปฏิบัติการ ที่มีหน้าที่หลักในการบังคับใช้กฎหมาย โดยการตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และมีคำสั่งในการยับยั้งการทำธุรกรรม ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าธุรกรรมใด เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน หรือในกรณีที่ธุรกรรมนั้นมีหลักฐานเป็นที่เชื่อถือได้ว่า เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมทั้งการมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ในกรณีที่หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจจะมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น ได้ชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน เป็นต้น นอกจากนี้ในประเด็นของการบังคับใช้กฎหมาย พระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีมาตรการทางกฎหมายบางประการ ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก ดังนั้นจึงมีประเด็นปัญหาว่า ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 นี้ ได้มีการจัดรูปแบบขององค์กร รวมทั้งได้มีมาตรการในการกำกับดูแลหรือควบคุมการใช้อำนาจ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อย่างเหมาะสมเพียงใด และมาตรการทางกฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นการขัดต่อ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 หรือไม่อย่างไร ผลจากการศึกษาค้นคว้าพบว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเป็นองค์กรในระดับบริหารนั้นมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพิ่มเติมมติ คำสั่ง หรือมอบหมายให้คณะกรรมการธุรกรรม ซึ่งเป็นองค์กรในระดับปฏิบัติการดำเนินการอื่นใดก็ได้ อันเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการธุรกรรม และเป็นการสร้างดุลย์การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่องค์กรรัฐ นอกจากนี้ลักษณะของโครงสร้างของคณะกรรมการ คุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง วาระในการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งกรรมการขององค์กรทั้ง 2 นั้นจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดและมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อการใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ส่วนกรณีเรื่องการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นสามารถที่จะกระทำได้โดยไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญทั้งนี้ภายใต้กรอบแห่งหลัก "นิติรัฐ" และนอกจากนี้ในกรณีที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีคำสั่งยับยั้งการทำธุรกรรม หรือมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นถือได้ว่าเป็นคำสั่งทางปกครองตามหลักกฎหมายมหาชนจากข้อสรุปดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 โดยให้ผู้ทำธุรกรรมหรือผู้เสียหายได้มีสิทธิโต้แย้งคัดค้านคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติในมาตรา 35 และมาตรา 36 พร้อมกับเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในมาตรา 59 เรื่องเขตอำนาจศาลโดยให้การคัดค้านคำสั่งทางปกครองดังกล่าวข้างต้นอยู่ภายใต้อำนาจของศาลเดียวกันกับกรณีการมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามบทบัญญัติในมาตรา 48 รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำจากคำว่า "ศาลแพ่ง" มาเป็น"ศาลส่วนแพ่ง" เพื่อให้การดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้นมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงโดยอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลทั่วประเทศ