Abstract:
แต่เดิมนั้น พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง ในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจดังกล่าว ผ่านทางฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายตุลาการ ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญที่มิได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จึงทำให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมีบทบาทใดๆ หลงเหลืออยู่ในการบริหารราชการแผ่นดิน จากการศึกษาสามารถสรุปความเหมือนและแตกต่างของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และอังกฤษได้เป็นสามส่วน คือ หนึ่ง ในส่วนของพระราชฐานะนั้น โดยทั่วไปแล้วไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดก็คือ ในประเทศอังกฤษมีแนวคิดว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร แต่แนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ปรากฏในประเทศไทย สอง ในส่วนของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะของการใช้พระราชอำนาจที่คล้ายคลึงกัน แต่จะมีส่วนที่แตกต่างกันในเนื้อหาก็คือในปัจจุบันมีแนวโน้ม ที่พระมหากษัตริย์อังกฤษจะทรงลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากแนวโน้มของการที่หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ไม่มีพรรคการเมืองใดได้ที่นั่งในสภาสามัญเกินกึ่งหนึ่ง ทำให้อำนาจในการตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ตกอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ในขณะที่พระมหากษัตริย์ไทยนั้นทรงดำรงพระองค์อยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง โดยจะทรงลงมาแก้ไขสถานการณ์วิกฤติของประเทศ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลที่มีหน้าที่บริหารประเทศ ไม่สามารถจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ได้แล้วเท่านั้น สาม ในส่วนของบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษเพิ่งจะเริ่มมีบทบาทในทางสังคมใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งบทบาทดังกล่าวเป็นบทบาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงถือปฏิบัติมายาวนานเกินกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้พระราชอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชน โดยทรงริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อช่วยให้ราษฎรมีอยู่มีกิน ทรงปฏิบ้ติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีต่อประชาชนทั้งในด้านคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้ง ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีแก่ประชาชน การใช้พระราชอำนาจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนนี้ ถือเป็นการใช้พระราชอำนาจที่โดดเด่นกว้างขวาง เกินกว่าที่ทฤษฎีเกี่ยวกับพระราชอำนาจใดๆ จะสามารถเขียนถึงได้หมดสิ้น