Abstract:
สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีซึ่งเป็นตัวแทนที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐในทางนิติบัญญัติและในทางบริหาร เพื่อกำหนดนโยบายการบริหารประเทศและเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ของบุคคลกลุ่มต่างๆ ในสังคมนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการทางกฎหมายสำหรับป้องกันและควบคุมการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว มิให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผลประโยชน์ส่วนตนมีโอกาสหรือสามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจในการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้ ดังนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงได้บัญญัติข้อห้ามเกี่ยวกับการกระทำการที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ให้เป็นการกระทำอันต้องห้ามสำหรับสมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี โดยหากกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าวจะส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีและสมาชิกภาพของสมาชิกรัฐสภาต้องสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี จากการศึกษาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการสิ้นสุดความเป็นสมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีเพราะเหตุแห่งการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ในช่วงปีพุทธศักราช 2540 ถึง 2553 และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง พบว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอันเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ยังขาดความชัดเจนในหลายประการทั้งในส่วนของเนื้อหาของข้อห้ามและผลจากการกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว และจากความไม่ชัดเจนของบทบัญญัติดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดปัญหาในการตีความ และส่งผลกระทบตามมาในอีกหลายประการ ได้แก่ ส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน รวมทั้งผลกระทบต่อความความเชื่อถือและไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อระบบกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานในภาครัฐ รวมถึงส่งผลกระทบในทางการเมืองและภาพลักษณ์ของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญด้วย ดังนั้น จึงสมควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวในรัฐธรรมนูญให้มีความละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น อนึ่ง เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีเนื้อหากระชับ อาจแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวแล้วนำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายลำดับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ